POLITICS

‘พริษฐ์’ เผย ‘ก้าวไกล’ เห็นพ้อง ‘เพื่อไทย’ แก้รัฐธรรมนูญทำประชามติแค่สองครั้ง

‘พริษฐ์’ เผย ‘ก้าวไกล’ เห็นพ้อง ‘เพื่อไทย’ แก้รัฐธรรมนูญทำประชามติแค่สองครั้ง – ส.ส.ร.ต้องมาจากการเลือกตั้ง ย้ำต้องจับมือแน่น โนัวน้าว สว.เห็นชอบ

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ สส.พรรคเพื่อไทยกว่า 120 คน ร่วมกันยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ว่าสิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันคือ การทำประชามติครั้งที่ 2 และ 3 ถูกบังคับโดยรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และคำวินิจฉัย 4/2564 ของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ข้อถูกเถียงหลักจึงอยู่ที่การทำประชามติครั้งแรกจำเป็นหรือไม่ เนื่องจากมีการตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่แตกต่างกัน บางฝ่ายมองว่า คำวินิจฉัยกำหนดให้ทำประชามติก่อน ส.ส.ร.จะยกร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่บางฝ่ายโดยเฉพาะ สว.มองว่า ต้องทำประชามติก่อนที่จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภา

นายพริษฐ์ กล่าวยืนยันว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับ นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายขื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เสนอว่า ตามหลักกฏหมายการทำประชามติ 2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว ส่วนที่หลายฝ่ายยึดว่า ต้องทำประชามติครั้งแรก อาจมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะถ้าเริ่มด้วยคำถามประชามติครั้งที่ 2 เริ่มต้นด้วยการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และการตั้ง ส.ส.ร.ไปเลย อาจมี สว.บางส่วนไม่ยกมือให้ โดยอ้างว่าต้องทำประชามติครั้งแรกก่อน

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลไม่ติดใจกับข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย และพร้อมให้ความร่วมมือ ต่อไปนี้จะมีโจทย์สำคัญคือ ทั้งสองพรรคต้องร่วมกันหาแนวทางโน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภาทุกส่วน โดยเฉพาะ สว.เห็นชอบกับการทำประชามติ 2 ครั้ง

อีกโจทย์คือในเชิงรายละเอียด ทั้งรูปแบบและที่มาของอำนาจ ส.ส.ร. โดยพรรคก้าวไกลได้เตรียมร่างแก้ไขที่จะยื่นประกบกับร่างของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ในส่วนที่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยคือ ส.ส.ร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% และกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ร. อยู่ที่ 18 ปี แต่จุดที่เห็นต่างกับพรรคเพื่อไทย คือระบบเลือกตั้ง ความเชื่อมโยงระหว่าง ส.ส.ร. กับรัฐสภา และอำนาจของ ส.ส.ร. ในการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งจะใช้กลไกของรัฐสภาหาข้อยุติความเห็นต่างเหล่านี้

นายพริษฐ์ ยอมรับว่า มีความเสี่ยงที่ศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยจำนวนครั้งที่ต้องทำประชามติมา จึงมั่นใจว่าทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันในหลักการว่าการทำประชามติ 2 ครั้งเพียงพอแล้ว และหวังให้รัฐสภาหาทางออกกันเอง แต่ยังมีช่องให้คนที่เห็นแย้งยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อยู่

สำหรับความเสี่ยงเรื่องเสียงข้างมาก 2 ชั้น ต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังมีอยู่ แต่ในแนวทางการทำประชามติ 2 ครั้ง อาจมีแนวทางที่แตกต่างออกไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่า คือแนวทางคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่ตั้งคำถามการทำประชามติครั้งแรก ที่สอดไส้เงื่อนไขหมวด 1 และหมวด 2 อาจส่งผลให้การลงคะแนนของประชาชนไม่เป็นเอกภาพ และโอกาสที่การทำประชามติครั้งแรกผ่านลดน้อยลง

ในส่วนการเสนอร่างแก้ไขมาตรา 256 ไปพร้อมกับการเสนอตั้ง ส.ส.ร. พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลยืนยันตรงกันว่า ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามให้ทำเช่นนี้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นข้อถกเถียงที่เคยทำให้กระบวนการนี้สะดุดไปในปี 2564

“พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลต้องจับมือกันให้แน่น เพื่อพยายามช่วยโน้มน้าวให้ สว. รวมถึง สส.จากบางพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่หันมาเห็นชอบ และพร้อมยกมือสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 256 และ ส.ส.ร. โดยไม่ต้องทำประชามติก่อน” นายพริษฐ์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend