POLITICS

‘เสรี’ เผย อยากฟัง ‘เศรษฐา’ แสดงวิสัยทัศน์ และชี้แจงกรณี ‘ชูวิทย์’ แฉ ปมซื้อขายที่ดิน

‘เสรี’ เผย อยากฟัง ‘เศรษฐา’ แสดงวิสัยทัศน์ และชี้แจงกรณี ‘ชูวิทย์’ แฉ ปมซื้อขายที่ดิน จี้ พูดให้ชัด แก้รัฐธรรมนูญเว้น หมวด 1-2 ห่วงบ้านเมือง หากผู้นำถูกกล่าวหาไม่สุจริต

วันนี้ (22 ส.ค 66) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายถึงคุณสมบัติของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย หลังได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมควรดำรงนายกรัฐมนตรี โดยนายเสรีระบุว่า การพิจารณาเห็นชอบนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ตอนแรกฟังเสียงเหมือนจะไม่ผ่าน แต่ในสภาย่อมจะฟังเสียงกันออกว่าจะผ่านหรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่ามีแนวโน้มสูงว่าจะผ่าน ถ้าตนเองตัดสินใจให้ผ่านมันง่ายก็ตามน้ำไป แต่ด้วยความรู้สึกว่าการจะพิจารณาบุคคลเป็นนายกฯ ต้องเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ผมก็พยายามให้เหตุผลกับตัวเองว่าจะตัดสินอย่างไรในการเห็นชอบ

นายเสรี กล่าวต่ออีกว่า จริงๆ แล้วตนเองก็อยากฟังเสียงของนายเศรษฐาในที่ประชุมแห่งนี้ แต่ท่านก็ไม่มาแสดงวิสัยทัศน์ จริงๆ ตนก็มีอีกหลายเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าเห็นแล้ว ควรจะเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งก็อยากจะถามเรื่องการแจกเงินดิจิทัล ด้วยว่าเอาเงินจากไหน มาแจกคนละ 1 หมื่นบาท คนรวยก็ได้เหมือนกัน ทำไมไม่แจกตรงเสียเลย ทำไมต้องไปผ่านกระบวนการที่เข้าใจว่าเป็นบริษัทที่ถือครองเงินดิจิทัลหรือไม่ แต่ห่วงว่าเงินที่เอามาแจก 5 แสนล้าน เอามาจากไหน จะกระทบกับการเงินการคลังหรือไม่ ส่วนบริหารอื่นจะเอาเงินจากไหน และเป็นปัญหากับประเทศหรือไม่ที่อยากฟังกับปาก

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พรรคร่วมไปแถลงไว้ ตนก็มีคำถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะกระทบกับสถาบันฯ เราจะไม่เห็นด้วย ซึ่งท่านก็แถลงไว้ในส่วนสุดท้ายว่า “และยังคงไว้ในส่วนของหมวดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์” ก็หมายความว่าท่านจะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อแก้แล้วก็คงส่วนในหมวด ดังนั้นท่านจะคงหมวดเอาไว้ แล้วเอาสาระไปแก้หรือไม่ ขอให้พูดให้ชัดว่าจะคงหมวดไว้ ก็หมายความว่าจะต้องไม่ไปแก้สาระเนื้อหาที่บัญญัติไว้อยู่เดิม หรือก็คือ การเว้นหมวด 1-2 ต้องพูดให้ชัด

นายเสรี กล่าวอีกว่า สิ่งหนึ่งที่เราไม่ได้พูดถึงเลยคือเรื่องที่นายชูวิทย์นำเสนอในเรื่องที่นายเศรษฐาได้เป็นผู้บริหารบริษัทมหาชน และบริษัทนี้มีข้อครหาหลายเรื่อง โดยในเรื่องแรกกรรมาธิการของตนเองได้ไปตรวจเป็นเรื่องที่ท่านมีการโอนซื้อที่ดินมาจากคนที่มาโอน 12 ชื่อ แต่ทำคนละวันกัน จึงเป็นคำถามว่าใน 12 ชื่อทำไมไม่โอนในวันเดียวกัน มีเหตุอะไรที่ต้องไปแยกโอน รวมถึงเรื่องที่ 2-3 ที่นายชูวิทย์ออกมานำเสนอต้องตอบให้ชัด

“บริษัทแสนสิริออกมาแถลง ผมเรียนตามตรงว่ามัน ยังไม่สามารถตอบ สิ่งที่คุณชูวิทย์เขานำเสนอได้ ผมไม่ได้ดูตัวบุคคลที่ถูกนำเสนอ แต่ผมดูที่เนื้อหาที่เขานำเสนอ มันก็เป็นเรื่องน่าห่วงว่าบริษัทมหาชนที่ประชาชนไปถือหุ้นจำนวนมหาศาลมีกระบวนการการซื้อที่ดินโดยซื้อในราคาที่ระบุว่าเป็นราคาท้องตลาด แต่ไปดูตอนขายเป็นการขายในราคาถูก แต่พอจะไปซื้อในตลาดก็มีบริษัทมาอยู่ตรงกลางเป็นนอมินีไปซื้อในราคาถูก และเอาไปขายในราคาแพง ทำให้มีส่วนต่าง” นายเสรีกล่าว

ดังนั้น ในกระบวนการซื้อขายที่ดินเป็นเรื่องของการกระทำก็จริง แต่เป็นเรื่องของบุคคลที่ไปบริหารองค์กร ถ้าหากนำกระบวนการเหล่านี้มาบริหารประเทศ มันจะมีเงินทอนกันตลอดหรือไม่ รวมทั้งเรื่องการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นเป็นคนต่างชาติ มีการโอนเงินไปต่างประเทศ จึงเป็นคำถามที่อยากให้ตอบให้ชัดเจน ซึ่งมองว่าหลักฐานของนายชูวิทย์ดูน่าเชื่อถือ ฉะนั้นคนที่จะมาบริหารประเทศหากไม่สามารถแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้ มันก็จะ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างว่าในบริษัทอื่นๆ จะมากระทำการเช่นนี้จำนวนมากหรือไม่

“การเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าหากยังมีเรื่องนี้เหล่านี้อยู่ มันจะเป็นทุกขลาภ ถ้าหากว่าท่านยังมีพฤติกรรม หรือการกระทำเหล่านี้มาก่อน มันจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าไม่สุจริต หรือผิดจริยธรรม ก็อาจจะถูกตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายกรณีที่จะมาบริหารประเทศ ตนก็เป็นห่วงบ้านเมืองว่าท่านจะไปประสบเคราะห์กรรมอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีกับบ้านเมือง” นายเสรีกล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend