‘นายกฯ’ แจงเลื่อนคุยภาษี ‘ทรัมป์’ เหตุต้องทบทวน ยันไม่ช้าเกินไป ย้ำรักษาสมดุลมหาอำนาจ
วันนี้ (22 เม.ย. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเลื่อนเจรจาประเด็นภาษีกับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ว่า แม้ทุกกระทรวงของไทยเตรียมพร้อมแล้ว แต่ทีมงานของสหรัฐฯ ได้ขอให้ทบทวนประเด็นสำคัญบางอย่างก่อนการเจรจา ซึ่งจะมีการนัดหมายใหม่อีกครั้ง โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้แถลงรายละเอียดต่อไป
ส่วนข้อเสนอของฝ่ายค้านให้ทบทวนงบประมาณปี 2569 หรือออก พ.ร.บ. เงินกู้ เพื่อรับมือผลกระทบทางภาษีนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลรับฟังทุกความคิดเห็น และจะให้ทีมงานพิจารณาถึงผลกระทบระยะยาวอย่างรอบคอบ พร้อมขอบคุณข้อเสนอแนะดังกล่าว ส่วนการเดินทางไปเจรจาด้วยตนเองนั้น ขึ้นอยู่กับระดับของการหารือ แต่ยืนยันว่าพร้อมสำหรับการเจรจาเสมอ
ต่อข้อซักถามว่าไทยดำเนินการช้าเกินไปหรือไม่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่เริ่มเจรจาแล้ว นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่ช้าเกินไป เนื่องจากสหรัฐฯ ยังมีกรอบเวลาอีก 90 วัน และไทยได้ใช้เวลานี้ทบทวนประเด็นต่างๆ รวมถึงมีการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับทีมเจรจาถึงหัวข้อที่ควรหยิบยก เช่น การปรับอัตราภาษีที่อาจสูงเกินไปให้สมเหตุสมผล โดยทีมงานกำลังดำเนินการอย่างละเอียด
เมื่อถามถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งรัฐบาลกำลังรับมือและจัดการอย่างรอบคอบ มีการหารือต่อเนื่อง และทีมงาน รวมถึงที่ปรึกษาภายนอก ยังคงทำงานอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ มีการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เกี่ยวกับการเดินทางไปเจรจา และมีกำหนดการเดินทางไปกัมพูชาในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ซึ่งจะแจ้งความคืบหน้าต่อไป
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงการทบทวนนโยบายเศรษฐกิจ เช่น โครงการเงินหมื่นดิจิทัล หลังการเปลี่ยนแปลงนโยบายสหรัฐฯ ว่า ปัจจุบันทุกอย่างยังคงเดิม แต่กำลังพิจารณาว่าสามารถปรับปรุงส่วนใดได้บ้าง รวมถึงพิจารณาเรื่องการเพิ่มการส่งออกสินค้าจำเป็นของผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยไปยังสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยยังคงยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยเป็นสำคัญ
สำหรับประเด็นการรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะจีน ซึ่งอาจมีมาตรการตอบโต้หากไทยโน้มเอียงไปทางสหรัฐฯ มากเกินไป นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การเจรจากับสหรัฐฯ ต้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกัน ประเทศไทยจะไม่ยอมรับข้อตกลงฝ่ายเดียว ทุกประเทศมีความสำคัญ และไทยพร้อมให้ความร่วมมือหากได้รับการตอบสนองในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีน และต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีนี้ต่อไป จึงต้องรักษาสมดุลอย่างระมัดระวัง
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจเดินทางไปต่างประเทศเพื่อช่วยเจรจานั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มี แต่ยอมรับว่านายทักษิณมีการติดต่อกับทีมทำงานอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนความชัดเจนเรื่องกำหนดการเดินทางไปสหรัฐฯ มอบหมายให้นายพิชัยเป็นผู้แถลง












