ปลัด สธ. ยืนยัน ยังไม่พบการติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ‘HKU5’ ในคน
ปลัด สธ. ยืนยัน ยังไม่พบการติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ‘HKU5’ ในคน เผย เป็นเพียงข้อมูลการวิจัยในห้องแล็บ ย้ำ ไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ไม่ต้องวิตกกังวล
วันนี้ (22 ก.พ. 68) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงถึงการค้นพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในค้างคาวจากทีมนักวิจัยชาวจีน มีความสามารถในการติดต่อไปยังมนุษย์ได้คล้ายกับไวรัสโควิด-19 ว่า ข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการวิจัยในห้องแล็บที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ โดยเป็นการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
สายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ที่ค้นพบนี้ เป็นความหลากหลายทางพันธุกรรมในไวรัสสกุล Merbecovirus ไม่ถือว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสกลายพันธุ์ แต่เป็นไวรัสในตระกูลโคโรน่าไวรัสที่มีหลายสายพันธุ์ย่อย มีลักษณะการจับคู่ระหว่าง HKU5-CoV-2 กับ ACE2 ของมนุษย์ที่แตกต่างจากมาร์เบโควีโรสอื่น ๆ อาจมีความเสี่ยงต่อการติดต่อจากสัตว์ไปสู่คน และอาจส่งผลให้เกิดการระบาด
อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบการแพร่ระบาดที่เกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน จึงไม่ต้องวิตกกังวล โดยประเทศไทยได้มีระบบเฝ้าระวังและควบคุมป้องกันโรคระหว่างประเทศที่เข้มแข็ง รวมถึงความร่วมมือของกรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่ายทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์ไวรัสก่อโรคอย่างต่อเนื่อง และมีความรวดเร็วในการตอบสนองต่อสถานการณ์ ขณะนี้ผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในประเทศไทยยังคงเป็นสายพันธุ์โอมิครอน JN.1
“แม้จะยังไม่พบการระบาดของสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 แต่มาตรการป้องกันจะไม่แตกต่างจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ก่อโรคระบบทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัดใหญ่ โควิด 19 หรือ RSV คือ หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด หากจำเป็นต้องไปให้สวมหน้ากากอนามัย หรือสวมเมื่อป่วยมีอาการระบบทางเดินหายใจเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ล้างมือเป็นประจำ โดยบุคคลที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและมีอาการรุนแรงสามารถเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคได้ ทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนโควิด 19” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า การค้นหาเชื้อไวรัสใหม่ในค้างคาว เช่น จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา กำลังดำเนินการ เป็นการวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อม เนื่องจากไวรัสโคโรนามีหลายสายพันธุ์และมีการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ เมื่อค้นพบไวรัสแล้วจะมีการศึกษาคุณสมบัติต่าง ๆ เพื่อต่อยอดไปถึงการพัฒนาวัคซีน ซึ่งความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสจากค้างคาวมาสู่คนโดยตรงยังอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง เนื่องจากโดยปกติเชื้อที่พบในค้างคาวมีปริมาณน้อย โอกาสที่คนจะไปสัมผัสกับค้างคาวก็ต่ำมาก และการติดต่อสู่คนมักต้องมีสัตว์ตัวกลางอื่น












