POLITICS

‘คารม’ กังวล ดีเอสไอ นัดประชุมบอร์ดคดีพิเศษ คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. เข้าเป็นคดีพิเศษ ส่อขัดกฎหมาย

‘คารม’ กังวล ดีเอสไอ นัดประชุมบอร์ดคดีพิเศษ 25 ก.พ.นี้ คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. เข้าเป็นคดีพิเศษ ส่อขัดกฎหมาย เหตุ​ เป็นอำนาจ​ กกต. อัด รมว.ยุติธรรม​ ใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ หวังล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติ

วันนี้ (22 ก.พ.​ 68) นายคารม พลพรกลาง สมาชิกพรรคภูมิใจไทย แสดงความเห็นถึงกรณีที่มีกลุ่มผู้สมัคร สว. ที่ไม่ได้รับเลือก​ ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยอ้างว่ามีการฮั้วการเลือกตั้ง​ สว. และมีแนวโน้มว่าจะรับเป็นคดีพิเศษ โดยมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจมาก เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษถูกตั้งขึ้นโดยมีเจตนาเพื่อเป็นพนักงานสอบสวนในคดีอาญา คดีอาชญากรรมที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ มีการกระทำความผิดที่ซับซ้อน เดิมผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีอาญาทุกประเภทคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากพระราชพระราชบัญญัติ​ (พ.ร.บ.) การสอบสวนคดีพิเศษ กำหนดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ​ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้กำกับ เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ในการจัดตั้งจะเห็นว่าต้องการให้มีพนักงานสอนสวนในคดีอาญาที่มีความสลับซับซ้อน แต่ไม่น่าจะรวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้เฉพาะ การฟ้องคดีจึงต้องส่งผ่านพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามปกติของการฟ้องคดี

ส่วน​ สว. เป็นผู้ที่ได้มาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2560 มาตรา 107 ถึง 113 การเลือกตั้ง หรือการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด และตาม​ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภาฯ และคนรับรองคือกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะนัดประชุม คณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 25 ก.พ. 68 เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีที่มีผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่ไม่ได้รับเลือกมาร้องและอ้างว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ชอบ จึงมีคำถามว่า

1.​ แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะบอกว่า อาจรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา สามารถทำได้เพราะถือกฎหมายคนละฉบับ แต่การพ้นตำแหน่งของ​ สว.​ ภายหลังจาก​ กกต.​ รับรองแล้ว ย่อมเป็นไปตามมาตรา 111 ของรัฐธรรมนูญ แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินคดีก็อาจทำได้เฉพาะบุคคล แต่จะดำเนินคดีอาญาเฉพาะบุคคลในสมัยประชุม ก็ต้องขออำนาจจากสภาฯ หากจะจับกุม คุมขังในสมัยการประชุมสภาก็ไม่อาจทำได้

2.คดีที่อ้างว่าการเลือกตั้ง สว. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่​ กกต. ได้รับรองและยืนยันแล้วว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามคำกล่าวหา หรือคำร้อง​ หากกรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับเป็นคดีพิเศษ และให้มีการดำเนินคดีอาญากับ สว. จะถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายไหม

3.​ การที่รัฐมนตรียุติธรรมอ้างว่า มี สว. 138 คน​ และกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีจนต้องพ้นตำแหน่งทั้ง 138 คน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน​ สว. ก็ต้องมีการเลือกวุฒิสภาขึ้นใหม่เพื่อให้ครบ 200 คน​ ถึงจะปฎิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ย่อมแปลได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถล้มการเลือกสมาชิกวุฒิสภาได้ ทั้งที่สมาชิกวุฒิสภามาตามรัฐธรรมนูญ

4.การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร และเป็นผู้บังคับบัญชากรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเพียง​ พ​.ร.บ.​ และมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ มาดำเนินการ หากเป็นไปตามที่มีผู้สมัคร สว. ที่ไม่รับการเลือกตั้งร้องมา ก็อาจทำให้ สว. ต้องหลุดไป หรือปฎิบัติหน้าที่ไม่ได้ถึง 138 คน ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญได้ไหม และมีผลอย่างไร หรือเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญาทั่วไป

“เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่สำคัญทางกฎหมายอย่างยิ่ง สามารถนำเอาไปทำวิทยานิพนธ์ได้เลย เพราะเป็นการใช้อำนาจขององค์กรทางการบริหารมาล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติที่ดูสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นจุดจบของฝ่ายนิติบัญญัติ หากกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถทำได้ เพราะถ้าตรวจสอบสมาชิกวุฒิสภาจนต้องหลุดไป ทั้งที่กกต. รับรองไปแล้ว ต่อไปก็จะมีการตรวจสอบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เช่นกัน โดยมีการอ้างว่า มีการฮั้วการเลือกตั้ง อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษก็จะใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน” นายคารม กล่าว

Related Posts

Send this to a friend