POLITICS

‘ปชน. – ภท.’ แถลงหลัง รองประธานสภาฯ สั่งปิดประชุม ก่อนการเสนอญัตติด่วน ปม MOU 43-44

‘ประชาชน – ภูมิใจไทย’ แถลงหลัง รองประธานสภาฯ คนที่ 1 สั่งปิดประชุม ก่อนถึงการเสนอญัตติด่วน ปม MOU 43-44 ชี้ ผิดจากที่วิป 2 ฝ่ายตกลงกันไว้ ด้าน ‘ณัฐพงษ์’ ซัด รัฐบาล ปิดกั้นพื้นที่ที่ควรปลอดภัยที่สุดในการหาทางออก ทำสภาฯ เป็นง่อย ขณะที่ ‘ไชยชนก‘ ลั่น เขื่อนแตกแล้ว ความจริงเริ่มออกมา หากไม่ไหว ”อย่าฝืน“

วันนี้ (21 ส.ค. 68) เวลา 15:00 น. ที่อาคารรัฐสภา ภายหลังในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ได้สั่งปิดประชุม หลังรับทราบรายงานประจำปี 2567 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เสร็จสิ้น ก่อนที่จะมีการเสนอญัตติด่วน เรื่องบันทึกข้อตกลง MOU 43 และ MOU 44 ของนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย นั้น

ต่อมา เวลา 15:20 น. พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมด้วย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และ น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เนื่องจากวันนี้วิปฝ่ายค้าน และวิปรัฐบาลตกลงกันแล้วว่าจะเสนอญัตติด่วนเกี่ยวกับยกเลิก MOU 43 และ MOU 44

นายณัฐพงษ์ เปิดเผยว่า ฝั่งรัฐบาลได้มีการชิงปิดการประชุมสภาฯ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วหลายครั้ง และไม่ตรงกับสิ่งที่วิปทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการพูดคุยกัน โดยขณะที่ประชาชนส่งเสียงเรียกร้องอยากให้สภาฯ เป็นที่แห่งความหวังหาทางออกในเรื่องของพิจารณาศึกษาปัญหาความขัดแย้งไทยกัมพูชา และ MOU 43 และ MOU 44 มีประชาชนรอฟังเสียงจากสภาฯ อยู่ภายนอกของสภาฯ แต่รัฐบาลกลับปิดกั้นพื้นที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุด ในการให้พวกเราได้หารือกันในวันนี้ โดยชิงปิดสภาฯไปก่อน

“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ มีเสียงปริ่มน้ำ และไม่สามารถหาทางออกให้กับประชาชนได้ ผลโพลที่ออกมาล่าสุดประชาชนได้สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการต่อการทำหน้าที่ของนักการเมืองน้อยลง เราควรทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ควรจะทำให้สภาฯ เป็นพื้นที่หาทางออกไม่ใช่สะดุดลงเหมือนสภาฯ เป็นง่อยที่ทำอะไรไม่ได้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

ด้านนายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า ญัตตินี้เป็นญัตติที่ประธานสภาฯ ได้บรรจุเป็นเรื่องด่วน ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่สองสัปดาห์ก่อนพรรคภูมิใจไทยมีการเข้าชื่อเสนอกัน และตกลงกันว่า ในวันพฤหัสบดีนี้ จะมีการเลื่อนเรื่องขึ้นมาหลังการถามกระทู้ แม้จะขอให้มีการรับทราบรายงานก่อน เพราะว่ามีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานนั้นมาแล้ว จึงเกรงใจ และให้เกียรติหน่วยงานเข้ามาชี้แจง รวมถึงให้สมาชิกได้อภิปรายกันก่อน ระหว่างนั้น มีการประสานมายังวิปในวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งข้อตกลงคือ จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษา MOU ทั้ง 2 ฉบับ รวมถึงให้ฝ่ายค้านเตรียมรายชื่อกรรมาธิการไว้ เพื่อเข้าญัตติในวันนี้

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า แต่เมื่อประมาณช่วงเที่ยงวันนี้ ได้มีการเดินพูดคุยหารือกัน คือจะประชุมลับหรือไม่ ซึ่งเข้าใจดีว่า เนื้อหาการอภิปราย อาจมีบางส่วนที่มีความละเอียดอ่อน และอ่อนไหว ต่อเหตุการณ์ และสถานการณ์ในปัจจุบัน หากเผยแพร่ไปสู่สาธารณะ ซึ่งเราก็เข้าใจดี พรรคฝ่ายค้านยินยอม และให้ความร่วมมือ หากรัฐบาลเห็นว่า จะเป็นการประชุมลับดีกว่า

ต่อมา กลับมีการเดินมาเพื่อยกเลิกข้อตกลงเดิมด้วยการบอกว่า จะไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญแล้ว แต่จะส่งไปยังคณะกรรมาธิการสามัญแทน การเดินไปเดินมากว่าเป็นชั่วโมง ซึ่งก็ได้ข้อตกลงว่า เรายอมถอยให้ซึ่งกันและกัน ขณะที่เวลารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เราก็ร่วมแบกองค์ประชุมเพื่อให้สภาฯ ไปต่อได้

แม้ที่ผ่านมา รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำหลายครั้ง ฝ่ายค้านก็ยินยอมร่วมประชุมเพื่อให้งานสภาฯเดินไปต่อได้ เพื่อให้เป็นความหวังของประชาชน วันนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเพราะมีประชาชนมาชุมนุมอยู่หน้าสภาฯ เพื่อเรียกร้องเรื่องนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นแย้งหรือเห็นเหมือนกัน สภาถือเป็นโทรโข่งที่ผู้แทนของประชาชน จะได้ลุกขึ้นมาพูดกันว่าเขาเห็นด้วยหรือเห็นแย้งอย่างใด ต่อข้อเสนอของประชาชนที่มาชุมนุม และตั้งกมธ.ขึ้นมาเพื่อศึกษาข้อดีข้อเสีย MOU ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจว่าเราทำงานเพื่อพวกเขาอยู่ ดังนั้นการชิงปิดสภาโดยพวกเราไม่รู้ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่อันตรายมากๆ ต่อระบอบประชาธิปไตย และอันตรายต่อความหวังของประชาชนที่มีต่อสภาฯ และการเมือง หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ทีผ่านมาอาจจะมีขลุกขลักหรือเห็นต่างกันบ้าง แต่ทุกฝ่ายเห็นไปในทิศทางเดียวกันคือสภาต้องเดินไปข้างหน้าให้ได้

ขณะที่ น.ส.แนน เผยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ทางวิปฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านได้มีการคุยกัน ไม่ใช่แค่ 2 ครั้ง แต่มากกว่า 5 ครั้งด้วยซ้ำ ที่มีการเดินไปเดินมา และใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง สำคัญที่สุดคือญัตตินี้นายสฤษฏ์พงษ์ ได้มีการยื่นญัตติเอาไว้เป็นลำดับที่สองในญัตติด่วน โดยในขณะที่เรามีการตกลงกันไว้หมดแล้ว ว่าหลังจากรับทราบรายงานของหนึ่งหน่วยงานนั้น เราจะขอเลื่อนวาระการประชุม เพื่อเข้าญัตติด่วนตามที่ได้ตกลงกันระหว่าง 2 วิป และระบุด้วยว่า ใครจะเป็นคนขึ้นขอเปลี่ยนระเบียบวาระ ซึ่งคือตนเองที่กำลังจะยกมือขึ้น และในตนที่ประธานพูดปิด ก็เป็นเสียงของตนเองที่เป็นคนเรียกประธานฯ

อีกทั้ง เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่แค่เฉพาะฝ่ายค้านที่ตกใจ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ตกใจเหมือนกัน กับการกระทำที่เกิดขึ้น เพราะน้อยที่สุดที่มีการเตรียมไว้ คือสองญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อเสนอประกบ ซึ่งในการเจรจา ตอนแรกขอลับ โดยลับตอนเรื่องเนื้อหา ไม่รับตอนญัตติ มาอีกหนึ่งรอบ บอกลับตั้งแต่เสนอญัตติรวมถึงเนื้อหา มาอีกรอบหนึ่งบอกขอไม่ตั้งวิสามัญ ขอไปวิสามัญ และพอมารอบสุดท้าย ก็แบบที่เห็น ไม่ต้องคุยกันแล้ว ปิดประชุมใส่กันเลย

น.ส.แนน กล่าวต่อว่า ตนต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทั้งวิปรัฐบาล และประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่ในขณะนั้น ท่านก็คือหนึ่งในรองประธานสภาฯ ที่ไปรับหนังสือจากประชาชน ที่เขามายื่นเรื่อง MOU 43-44 ว่า ทำไมท่านไม่ฟังเสียงพี่น้องประชาชนในการพูดคุย ต้องใช้เวทีไหนในการพูดคุย เรื่องที่เป็นปัญหาประเทศนี้

น.ส.แนน กล่าวอีกว่า ไม่ทราบว่านับจากนี้ จะอ้างเหตุผลอะไร แต่ต้องขอตั้งคำถามย้อนกลับไป ว่าเป็นเพราะเหตุใด จะเห็นว่ามีบางพรรคที่ไม่พร้อม ไม่พร้อมที่จะคุย ไม่พร้อมจะลงไปศึกษาเนื้อหา และไม่พร้อมแสดงผลดีผลเสียให้กับประชาชนได้รับทราบ ซึ่งถามว่าท่านอยากใช้เวทีไหน ถึงจะยอมรับในการพูดคุย ท่านส่งตัวแทนรองประธานสภาฯ 2 ท่านไปรับหนังสือ แต่ก็เป็นท่านเองที่ปิดประชุมเสียเอง โดยที่ไม่นำเรื่องนี้มาพิจารณา ญัตตินี้ยังค้างอยู่ในสภาฯ และแน่นอนว่า พวกเราจะยืนอยู่ในจุดเดิมว่า เราจะต้องเอาเรื่องนี้มาพูดคุยกัน เราไม่อยากให้เหตุการณ์บางอย่างไปไกลกว่าการใช้เวทีสภาฯ ซึ่งควรเป็นที่ที่ใช้แก้ปัญหาของประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้

ส่วน นายไชยชนก ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทุกพรรคที่มายืนอยู่ตรงนี้ และไม่มายืนอยู่ตรงนี้ ได้ยอมทุกข้อเสนอจากทางฝั่งรัฐบาล เพื่อให้เรื่องนี้ ได้มีการดำเนินการต่อ หาข้อเท็จจริง หาทางออกเพื่อประเทศ แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เห็น

ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากเป็นข้อความไปสู่รัฐบาล และประชาชนว่า “ความจริง มันเริ่มออกมาแล้ว วันนี้เขื่อนแตกแล้ว ไม่ว่าท่านจะพยายามใช้อำนาจท่านในทางใด ท่านไม่สามารถปกปิดสิ่งที่กำลังออกมาในเวลานี้ได้ ไม่ว่าพวกผมจะสามารถพูดในสภาฯ อันทรงเกียรติแห่งนี้ได้หรือไม่ ตั้งกรรมาธิการได้หรือไม่ มีพี่น้องประชาชนที่รักชาติในทุกระดับ ทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ที่มีข้อมูล มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมที่จะนำเสนอข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่เรื่องนี้เกิดขึ้น และก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ”

“เพราะฉะนั้น ผมอยากฝากบอกรัฐบาลว่าอย่าฝืนเลยครับ ส่วนพี่น้องประชาชน ผมอยากจะบอกว่า อยากให้พวกเราสามัคคีกันไว้ และอดทน อย่าเพิ่งยอมแพ้ พวกเราทุกคนไม่มีใครต้องการที่จะเห็นการรัฐประหารหากเป็นไปได้ แม้กระทั่งกองทัพ ที่เรารักและเชื่อมั่น ก็ไม่อยากให้เกิดรัฐประหาร วันนี้ผมยังคิดว่ายังสู้ได้ ยังสู้ไหว และพยายามที่จะสู้ต่อไปในกระบวนการตามระบบที่มี ก็อยากให้ทุกคนอดทนต่อไปเท่าที่ทำได้ หากไม่ไหวจริงๆ ก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ในตอนนี้อยากให้ทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ในฐานะพี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักอธิปไตย รักประเทศไทย ทำในสิ่งที่ท่านสามารถจะทำได้ ให้ความจริงต่างๆ ออกมา ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วความจริงชนะทุกอย่าง หากเราสามัคคีกัน จะก้าวข้ามผ่านได้ทุกอุปสรรคสำหรับประเทศไทยในอนาคต” นายไชยชนก กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายไชยา ให้เหตุผลการปิดประชุมว่า ได้รับการประสานมา หากหมดวาระรับทราบรายงานการประชุม ให้ปิดประชุมได้เลย นายปกรณ์วุฒิ ยืนยันว่า “ไม่มีครับ” ส่วนจะมองว่ามีใบสั่งหรือไม่ ก็คงต้องถามรองประธานสภาฯ อีกรอบ แต่วิปฝ่ายค้านยืนยันว่า ไม่ได้มีการประสานในการขอปิดประชุม

ส่วนจะดูเหมือนโดนหักหลังหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดน แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะประชาชนมาชุมนุมข้างหน้า การไม่เปิดพื้นที่ในสภาฯ ให้แสดงความคิดเห็น เป็นตัวแทนประชาชนข้างนอก เป็นเรื่องใหญ่มาก

Related Posts

Send this to a friend