พปชร. จี้รัฐบาล ยกเลิก ‘MOU 43–44’ ชี้ ไทยเสียเปรียบกัมพูชา
พปชร. จี้รัฐบาล ยกเลิก ‘MOU 2543–2544’ ชี้ ไทยเสียเปรียบกัมพูชา เสนอใช้กฎหมายสากล-หลักฐานประวัติศาสตร์ เป็นกรอบเจรจาเส้นเขตแดน
วันนี้ (21 ส.ค. 68) ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนจากเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชาว่า ต้นตอของความขัดแย้งมีรากเหง้ามาจากการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 รวมถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริง และไม่เคยได้รับการรับรองจากฝ่ายสยาม แต่กลับถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานประกอบจนเกิดข้อพิพาทด้านพรมแดนต่อเนื่อง
การทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่ยอมให้กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นเอกสารใช้ในการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนทางบก และ MOU ปี 2544 เกี่ยวกับเขตแดนทางทะเล ที่นำเส้นที่ละเมิดกฎหมายสากลของกัมพูชามาแสดงในแผนที่แนบท้ายโดยลากเส้นทะเลจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด มายังเกาะกูด ลากเลยเข้าไปกลางอ่าวไทย ถือว่าละเมิดอธิปไตยของไทยและไม่สอดคล้องกับพระบรมราชโองการในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2516 ที่กำหนดแนวเขตทะเลไว้อย่างชัดเจน
MOU ทั้งสองฉบับถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เพราะยอมเปิดช่องให้กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ชายแดนบนบกและทะเลอ่าวไทยโดยไม่ชอบธรรม อีกทั้ง MOU ทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน
พรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนชัดเจนว่า ประเทศไทยควรยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียเปรียบ พร้อมเสนอให้ใช้กฎหมายสากลระหว่างประเทศเป็นกรอบการเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเล เช่นเดียวกับที่ไทยเคยดำเนินการกับเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย
ส่วนกรณีเขตแดนทางบก ควรยึดตามแนวหน้าผาจากช่องบกถึงช่องสะงำ และจากช่องสะงำถึงจังหวัดตราด ใช้หลักเขตที่ 1–73 ที่สยามและฝรั่งเศสเคยทำไว้ และหากมีการเจรจาเขตแดนในอนาคต ควรนำสนธิสัญญาสันติภาพโตเกียว ซึ่งระบุว่าจังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณเป็นของสยาม มาใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบการเจรจา












