POLITICS

‘ชูวิทย์’ แฉครั้งสุดท้าย กล่าวหา ‘เศรษฐา’ ทำนิติกรรมอำพราง ตั้งนอมินีซื้อขายที่ดิน

ชี้ มีเงินทอนถูกโอนไปนอกประเทศ พร้อมเปิดผังเชื่อมโยงความสัมพันธ์ มั่นใจ หาก ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน

วันนี้ (21 ส.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าว “แฉเพื่อชาติ” ครั้งสุดท้าย Ep.3 “ตอกฝาโลง” ระบุว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ขณะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังที่ก่อนหน้านี้นายชูวิทย์ ระบุว่ามีการใช้บริษัทนอมินีต่างชาติ และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) เข้ามาถือหุ้น ก่อนโอนหุ้นให้กับบริษัทนอมินีต่างชาติดังกล่าวในภายหลัง

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า บริษัท ศ. ถือครองที่ดินย่านสุขุมวิท 12 โดยใช้ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท มีที่ดินกว่า 2 ไร่ และจำนองที่ดินกับธนาคาร วงเงินกู้ 1 พันล้านบาท รวมทั้งสิ้น 1,175 ล้านบาท ซึ่งต่อมา บริษัทนอมินีต่างชาติ และ รปภ. ชื่อ ช. อยู่มุกดาหาร ร่วมกันซื้อหุ้นบริษัท และปลดจำนอง ในวันที่ 11 มี.ค. 59 โดย รปภ. ถือหุ้น 51 % ส่วนนอมินีต่างชาติ ถือหุ้น 48.57 %

จากนั้น วันจันทร์ที่ 14 มี.ค. 59 กลับปรากฎว่า บริษัท ศ. ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยมีบริษัทต่างชาติ ถือหุ้นในบริษัท ศ. ถึง 99.99 % และมีนาย พ. ถือ 1 หุ้น ส่งผลให้ในขณะนี้บริษัทอยู่ในสถานะเป็นบริษัทต่างด้าว โดยมีนาย พ.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกอย่าง เหมือนกับนาย ส. ที่เป็นรปภ. ในเคสก่อนหน้านี้

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน มีการขายที่ 2 ไร่ ราคาตารางวาละ 565,000 บาท รวมราคาที่ดิน 499.6 ล้านบาท ให้กับบริษัทลูกของอสังหาริมทรัพย์เจ้าดัง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าวถือหุ้น 99.99% และมีนายเศรษฐาถือ 1 หุ้น โดยนำไปจำนองที่ดินกับธนาคารแห่งหนึ่งในวงกู้ 2,556 ล้านบาท โดยใช้หนังสือรับรองของวันศุกร์ (11 มีนาคม 59)

นายชูวิทย์ เปิดเผยอีกด้วยว่า บริษัทลูกของอสังหาริมทรัพย์เจ้าดัง ซื้อที่ดินมาในราคา 499.46 ล้านบาท แต่กลับพบว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว ได้ลงบันทึกในงบการเงินว่าต้นทุนค่าที่ดิน อยู่ที่ 1,850 ล้านบาท ซึ่งตรวจสอบโดย บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีระดับโลก

เมื่อนำเงินต้นทุนที่ระบุในงบการเงินบริษัท 1,850 ล้านบาท ลบกับ เงินปลดจำนองที่ดิน 1,000 ล้านบาท คงเหลือ 850 ล้านบาท และลบค่าทุนจดทะเบียนอีก 175 ล้านบาท คงเหลืออีก 675 ล้านบาท จึงตั้งคำถามว่า เงินดังกล่าวหายไปไหน ก่อนอธิบายเพิ่มว่า เงินทอนตรงนี้ถูกโอนไปที่ฮ่องกง ที่บริษัท ศ. ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นที่ 16 ถนนเฮนเนสซี่ ฮ่องกง ที่ใช้เป็นฐานในการฟอกเงิน โดยนายชูวิทย์ได้ส่งทีมงานไปตรวจสอบที่ตั้งของบริษัทดังกล่าว ปรากฏภาพเป็นบริษัทเช่าห้องแถวอยู่ โดยมองว่า “เป็นแผนคอรัปชั่นผู้ถือหุ้น”

นายชูวิทย์ ยังได้เปิด “Connection Tree” นาย พ. นอมินีคนสำคัญของขงเบ้ง ซึ่งเป็นคู่เขยของนายเศรษฐา และ นาย อ. ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายเศรษฐา และผู้ถือหุ้น 25 % ของบริษัท N. ที่มีนาย พ. เป็นกรรมการผู้จัดการ อยู่ควบคู่กับบริษัท R ที่มีขงเบ้ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49.97% ของบริษัทนี้ด้วย

อีกทั้งยังมี นาย ส. รปภ. เคสก่อนหน้า ที่นายชูวิทย์ ระบุว่าเป็นนอมินีในการทำธุรกรรมของเป็นพนักงานของบริษัท รปภ. M. มีพี่สาวของนายขงเบ้ง ถือหุ้นใหญ่อยู่ 33.33% และเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท อ. ที่เป็นเจ้าของถนนในโครงการ T77 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ โดยนาย ส. เป็นคนเซ็นขอ EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ของคอนโด ซึ่งนายชูวิทย์ระบุว่า ทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกัน จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ และคำแถลงของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เป็นการโกหกร้อยเปอร์เซ็นต์

นายชูวิทย์ ระบุอีกว่า ตนเองได้ส่งเอกสารถึง สส. และ สว. ทั้ง 750 คน เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของนายเศรษฐา กรณีการได้รับการสนับสนุน หรือไม่ได้รับการสนับสนุนก็ได้ แต่ตนมันใจว่า ถ้านายเศรษฐาได้เป็นนายกฯ อยู่ได้ไม่เกิน3 เดือน ครม.เปลี่ยนใหม่หมด เพราะเรื่องราวที่ตนพูดเกี่ยวพันกับนายเศรษฐา

Related Posts

Send this to a friend