‘ร่มธรรม’ ชี้ รัฐบาลจัดงบแบบดันทุรังกู้เงิน เป็นรัฐบาลแห่งการก่อหนี้

‘ร่มธรรม’ ชี้ รัฐบาลจัดงบแบบดันทุรังกู้เงิน เป็นรัฐบาลแห่งการก่อหนี้ ลั่น “รัฐบาลเสดถา ทวีหนี้สิน”
วันนี้ (21 มิ.ย. 67) นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้สรุปการอภิปรายของพรรคในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ 2568 ว่า วาระของในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถือเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเงินงบประมาณเหล่านี้มาจากภาษีของพี่น้องประชาชน ดังนั้นจึงต้องใช้การพิจารณาอย่างรอบคอบว่ารัฐบาลจะนำเงินของพี่น้องประชาชนไปทำอะไร
นอกจากนี้งบประมาณรายจ่ายประจำปียังเป็นเครื่องสะท้อนว่ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศอย่างไร จะนำนโยบายที่หาเสียงไว้ไปสู่การปฏิบัติโดยวิธีใด และที่สำคัญรัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้หรือไม่
“เราคาดหวัง แม้จะรู้ว่าไม่มีหวังว่าการจัดทำงบประมาณปีนี้ จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน และตอบสนองความท้าทายของประเทศ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ค่าของชีพสูงขึ้น น้ำมัน ค่าไฟ ราคาสินค้าทางการเกษตรผันผวน อีกทั้งมีปัญหาความเป็นอยู่คุณภาพชีวิต มิจฉาชีพระบาด ยาบ้าเต็มเมือง คุณภาพการศึกษาตกต่ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งมลพิษทางอากาศ สารเคมี ภัยแล้ง ไปจนถึงภาวะโลกร้อน สิ่งที่ปรากฏก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะเป็นงบประมาณที่ตั้งหน้าตั้งตากู้เงินมาแจก สร้างหนี้ให้กับประเทศ แต่กลับเมินเฉยต่อปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและความท้าทายของประเทศ” นายร่มธรรม กล่าว
นายร่มธรรม ยังได้ให้เหตุผลของการไม่เห็นด้วยกับร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ว่า ประเด็นที่หนึ่ง รัฐบาลจัดทำ “งบประมาณแบบดันทุรังกู้เงิน” ก่อหนี้มหาศาลอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึ่งงบประมาณ ปี 68 วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 7.8% ขณะที่ประมาณการรายได้ของรัฐบาลอยู่ที่ 2.88 ล้านล้านบาท หมายความว่าจะต้องกู้เพื่อมาชดเชยการขาดดุลถึง 8.65 แสนล้านบาท ถือเป็นการตั้งงบประมาณรายจ่ายที่ขาดดุลหรือเกินจากรายได้ไปสูงจนเกือบชนเพดาน และยอดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึง 11 ล้านล้านบาท คิดเป็น 65% ของจีดีพี และตามแผนของรัฐบาล ก็คาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นอีกจนเกือบ 70% ซึ่งเกือบชนเพดานหนี้ในช่วงท้ายของรัฐบาล
ด้านโครงสร้างงบประมาณรายจ่าย พบว่า เป็นรายจ่ายประจำไปถึง 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 72% ของงบประมาณทั้งหมด จะเห็นว่าลำพังเพียงงบรายจ่ายประจำอย่างเดียวก็ใกล้เคียงกับรายได้ของรัฐบาลที่มีอยู่ 2.8 ล้านล้านบาทไปแล้ว หมายความว่ารัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณขาดทุนอย่างต่อเนื่อง หรือต้องกู้อย่างต่อเนื่องต่อไป
ด้านรายจ่ายลงทุนอยู่ที่ 9.08 แสนล้านบาท คิดเป็น 24.9% แม้จะเพิ่มจากปีที่แล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผลมาจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ใส่มาในงบประมาณปีนี้ แต่ภาพรวมแล้วถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับรายจ่ายประจำและประเทศควรมีการลงทุนที่มากกว่านี้ ซึ่งเราคาดหวังว่าในปีต่อ ๆ ไป รัฐบาลต้องจัดงบลงทุนให้สูงขึ้นและอยู่ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
งบประมาณจำแนกตามกลุ่มรายจ่าย ปีนี้งบกลางเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 6.14 แสนล้านบาท เป็น 8.05 แสนล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นมากถึง 31% เป็นงบรายจ่ายบุคลากร 5.49 แสนล้านบาท คิดเป็น 68.2% ของงบกลางทั้งหมด เป็นเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉิน 9.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 11.8% สำหรับเงินสำรองกรณีฉุกเฉินนั้น ได้เกิดคำถามว่ามีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 67 ต่ำมาก โดย ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 67 มีการเบิกจ่ายไปเพียง 2.5% ของงบประมาณ ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะงบประมาณส่วนนี้ควรใช้กับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติที่ผ่านมาทั้งภัยแล้งมลพิษในสัดส่วนเหมาะสมกว่านี้
สำหรับงบ 68 มีรายการใหม่ที่ชื่อว่า ค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 1.52 แสนล้านบาท โดยงบก้อนนี้ทราบกันว่าจะนำไปใช้เพื่อทำโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท
“ผมไม่อยากจะเชื่อว่า นี่เป็นฝีมือของผู้บริหารธุรกิจ ท่านจะบอกว่าจะก่อพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ก่อสึนามิการลงทุนบ้างแต่เท่าที่ดู ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คือการก่อมรสุมเงินกู้ ที่จะโปรยหนี้ให้ท่วมกันทั่วหน้ามากกว่า เพราะหนี้เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนทั้งประเทศต้องแบกรับ ที่ต้องมาจ่ายภาษี จ่ายเงินกู้ทั้งเงินต้นและเงินดอก บางคนก็แซวว่าโครงการนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือจะกระตุ้นยอดขายให้กับบริษัทกันแน่ ซึ่งนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต จากนโยบายเรือธงวันนี้ได้กลายเป็นนโยบายเรือเกลือ เหมือนที่ท่าน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้กล่าวไป และผมคิดว่าในสุดท้ายก็จะกลายเป็นนโยบายเรือล่มในที่สุด” นายร่มธรรม กล่าว
นายร่มธรรม ได้แนะรัฐบาลว่า จะต้องคำนึงถึงการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนที่มีความยั่งยืนในทุกมิติมากกว่านี้ เราต้องพัฒนาเรื่องพื้นฐานให้มาก ทั้งเรื่องการพัฒนาคน การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน แหล่งน้ำ สิ่งแวดล้อม ที่ดินทำกิน การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจฐานรากที่เท่าเทียมให้กับประชาชน โดยเฉพาะธุรกิจรายเล็กรายย่อย และการลงทุนกับสิ่งใหม่ ๆ ธุรกิจสีเขียว ส่งเสริมการส่งออก ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยวให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่คิดว่าเอาเงินในอนาคตมาแจกแล้วตกให้เป็นภาระของประชาชนและภาระรัฐบาลต่อไป
ประเด็นที่สอง รัฐบาลจัดทำ “งบประมาณแบบเมินปัญหา” ไม่ตอบสนองต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และไม่ตอบโจทย์ความท้าทายของประเทศ โดยรัฐบาลพยายามดันทุรังเรื่อง ดิจิทัล วอลเล็ต และการผลักดันเศรษฐกิจ แม้เราจะไม่เห็นว่ามีมาตรการใดประสบความสำเร็จเท่าไรนัก นอกจากนี้งบประมาณปีนี้ก็ไม่ได้สะท้อนการให้ความสำคัญของรัฐบาลในประเด็นอื่นๆ ทั้งที่เรามีปัญหาและความต้องการมากมาย ตั้งแต่เรื่องการเกษตร เรื่องสวัสดิการ แรงงาน การศึกษา ยาเสพติด สุขภาพ ไปจนถึงเรื่องการท่องเที่ยวและกีฬา และที่สำคัญที่อยากเน้นย้ำคือปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งฝุ่นพิษ พีเอ็ม 2.5 ภัยแล้ง และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่รัฐบาลกลับจัดทำงบประมาณทั้งปีนี้และปีที่แล้ว เหมือนชื่อนายกฯ ซึ่งเป็นจัดงบประมาณสิ่งแวดล้อมแบบ “นิด นิด”
นายร่มธรรม กล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดรัฐบาลทราบดี มีการตั้งเป้าหมายไว้ทุกด้าน แถลงนโยบายสิ่งแวดล้อมชัดเจน และไปร่วมสัญญากับเขาไว้ทั้งโลก แต่มาวันนี้ทั้งเป้าหมายและแผนปฏิบัติการณ์ต่างๆ ก็ยังไม่เห็นอย่างเป็นรูปธรรม พอมาดูงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมแบบน้อยนิด ก็ต้องบอกว่า รัฐบาลเมินปัญหานี้ เหมือนรู้แต่ไม่ทำ เพราะเอาเงินไปทำโครงการเรือเกลือหมดแล้ว พร้อมเสนอให้รัฐบาลผลักดันปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติจริงๆ โดยเริ่มจากเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลป่า ทั้งที่มีภารกิจหน้าที่ที่สำคัญแต่ค่าตอบแทนต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ และมีปัญหาเงินเดือนออกล่าช้า
ส่วนปัญหาโลกร้อน รัฐบาลก็ต้องเร่งออกแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แผนปรับตัวสภาพภูมิอากาศก็ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมเสียที พร้อมกับเร่งนำ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ามาพิจารณาในสภา เราสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสของประเทศได้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว คาร์บอนเครดิต พลังงานสะอาดแต่ต้องทำแล้วให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด แต่ถ้ารัฐบาลสัญญาและลงมือทำแบบเฉื่อยช้า ตั้งงบประมาณแบบนี้ ดูเหมือนกำลังพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤตอยู่ เพราะบางเรื่องเงิน 10,000 บาท ก็ไม่สามารถซื้อได้ โดยเฉพาะสุขภาพและชีวิตของพี่น้องประชาชน
นายร่มธรรม กล่าวอีกว่า รัฐบาลจัดทำ “งบประมาณเมินท้องถิ่น” งบประมาณปี 68 รายได้ของท้องถิ่นทั้งสิ้นอยู่ที่ 8.39 แสนล้านบาท คิดเป็น 29.1% ของรายได้สุทธิของรัฐบาล หมายความว่าอำนาจส่วนใหญ่ของการบริหารงบประมาณถูกจัดสรรไว้ที่ราชการส่วนกลางถึง 70.9% ขณะที่รายได้ของ อปท. เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 4.9 หมื่นล้านบาท แต่ก็เป็นสัดส่วนเท่าเดิมเหมือนที่ตั้งไว้ในงบประมาณปี 67 และยังต่ำกว่าเป้าหมายที่จะทำให้ท้องถิ่นมีรายได้ไม่น้อยกว่า 35% ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล อีกปัญหาที่สำคัญของท้องถิ่น ส่วนใหญ่ให้มาแต่ภาระ แต่ไม่ได้ให้งบประมาณมาด้วย หลายโครงการเกินศักยภาพท้องถิ่น
“เราในฐานะตัวแทนของประชาชนสามารถหยุดยั้งงบประมาณที่สร้างหนี้ก้อนโต แต่ประชาชนต้องตายผ่อนส่งฉบับนี้ได้ ผมจึงขอให้เราได้ร่วมกันลงมติในวันนี้อย่างรอบคอบ และนึกถึงเจ้าของเงินงบประมาณที่แท้จริง นั่นก็คือประชาชนทุกคน และหากร่างงบประมาณฉบับนี้ผ่านในวาระรับหลักการ เราจะจดจำและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยว่างบประมาณปี 68 คืองบประมาณแห่งการกู้ และรัฐบาลนี้คือรัฐบาลแห่งการก่อหนี้ “รัฐบาลเสดถา ทวีหนี้สิน” นายร่มธรรม กล่าว