‘วิโรจน์’ เดินหน้ายื่นสอบ ‘นายกฯ’ 3 เรื่อง จี้ ‘สรรพากร-ที่ดิน’ จัดการปมตั๋ว PN-โฉนดเขาใหญ่

วันนี้ (21 เม.ย. 68) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) แถลงข่าวความคืบหน้าปฏิบัติการที่พรรคเรียกว่า ‘ยุทธการโรยเกลือ’ ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าพรรคจะติดตามดำเนินการใน 3 ประเด็นหลัก
ประเด็นแรก นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) 9 ฉบับ ที่ไม่มีกำหนดชำระและไม่มีดอกเบี้ย ในการทำธุรกรรมซื้อหุ้นบุคคลในครอบครัวหรือเครือญาติ มูลค่า 4,434.5 ล้านบาท ซึ่งพรรค ปชน. ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท โดยทางพรรคได้ยื่นหนังสือให้กรมสรรพากรตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว และหากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรมีคำวินิจฉัยว่าเข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีจริง จะดำเนินการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ไต่สวนความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ตามมาตรา 172 และความผิดฐานยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับข้อสงสัยเรื่องโฉนดที่ดิน 4 แปลง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เขาใหญ่ นายวิโรจน์ อ้างว่า แม้จะมีประกาศคณะปฏิวัติฉบับหนึ่งในปี 2515 กำหนดให้ใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นนิคมสร้างตนเองลำตะคอง แต่ประกาศดังกล่าวไม่ได้มีเนื้อหายกเลิกหรือแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2514 ที่สงวนพื้นที่บริเวณดังกล่าวไว้เพื่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ซึ่งห้ามออกโฉนดโดยเด็ดขาด ดังนั้น การออกโฉนดทั้ง 4 ฉบับ จึงอาจเป็นการออกโฉนดโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพรรค ปชน. ได้ยื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมที่ดินเพื่อขอให้ดำเนินการเพิกถอนโฉนดดังกล่าวแล้ว และจะติดตามความคืบหน้าต่อไป หากพบร่องรอยการประพฤติมิชอบ อาจจะดำเนินการยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ต่อไป
ประเด็นที่สาม นายวิโรจน์ กล่าวถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของ น.ส.แพทองธาร ว่าได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้ต้องขังรายอื่นหรือไม่ โดยกล่าวหาว่า น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ควรต้องทราบข้อเท็จจริง แต่กลับมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายบ่ายเบี่ยง ซ่อนเร้น หรืออำพรางข้อเท็จจริง และไม่ได้มีการสั่งการให้สอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลเรือนจำ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 172 แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช. และมาตรา 11 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เรื่องนี้ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. จะเป็นผู้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนและตรวจสอบความผิดต่อนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายต่อไป โดยคาดว่าจะยื่นภายในสัปดาห์นี้หรือไม่เกินสัปดาห์หน้า
นายวิโรจน์ ยังได้ชี้แจงจุดยืนของพรรค ปชน. ว่า จะไม่ใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญ หรือยื่นต่อ ป.ป.ช. ในประเด็นที่เกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากเห็นว่าเป็นกลไกที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนและเป็นมรดกจากการรัฐประหาร แต่จะใช้กลไก ป.ป.ช. ในการตรวจสอบกรณีที่เข้าข่ายการประพฤติมิชอบ หรือทุจริตต่อหน้าที่โดยตรง เช่น กรณีตั๋ว PN (หากผลวินิจฉัยภาษีออกมา) และกรณีชั้น 14 ส่วนกรณีที่ดินจะใช้กลไกของกรมที่ดินในการเพิกถอนโฉนดก่อน
นอกจากนี้ สส.พรรคประชาชน ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมี ‘หิริโอตัปปะ’ หากไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ ที่สังคมสงสัยได้ ควรพิจารณาแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเอง ดีกว่าจะถูกจัดการโดยกลไกที่พรรคไม่ยอมรับความชอบธรรม
“หลายคนบอกว่าทำไมเราไม่ใช้ หากทมิฬแทงทมิฬ ทำไมเราไม่เอาให้สุดซอย ก็อย่าไปสนใจวิธีการเลย จะจัดการกับใครทำไมต้องสนใจวิธีการ เราคิดอย่างนั้นไม่ได้ถ้าเรา จัดการกับคนโดยที่ไม่สนใจวิธีการเลย เราก็ไม่แตกต่างจากคนเรานั้น” นายวิโรจน์กล่าว