POLITICS

‘อนุทิน’ แถลงผลปฏิบัติการ ‘ตัดหมอกเวียงแหง’ สั่งย้ายนายอำเภอเวียงแหง ปลัดอำเภอ 2 นาย ออกหมายจับรวม 28 คน

วันนี้ (20 พ.ย. 68) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าวผลปฏิบัติการ ตัดหมอกเวียงแหง ซึ่งกรมการปกครอง บูรณาการร่วมกับ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมการปกครอง กองบัญชาการสอบสวนกลาง-CIB สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ-ป.ป.ช. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ-ป.ป.ท. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ-DSI ร่วมกันสืบสวนสอบสวน จนสามารถออกหมายจับขบวนการที่เกี่ยวข้อง 28 ราย ในจำนวนนั้นเป็นปลัดอำเภอ 2 ราย และ นายอำเภอเวียงแหง ร่วมด้วย

สำหรับปฏิบัติการ ‘ตัดหมอกเวียงแหง’ เกิดขึ้น หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เร่งรัดแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ในการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมือง โดยชอบด้วยกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ในพื้นที่ภาคเหนือ

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงได้สั่งการให้กรมการปกครอง นำโดยนายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง ดำเนินคดีกับขบวนการทุจริตเพื่อให้คนต่างด้าวมีสิทธิอาศัยถาวรในประเทศไทยในทันที โดยมอบหมายให้ชุดปฏิบัติการสืบสวนนำพยานหลักฐานเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกลุ่มนายหน้าและคนต่างด้าว จนนำมาสู่การขออนุมัติหมายจับบุคคลในขบวนการทุจริตการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมือง จำนวน 28 ราย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 11 ราย และนายหน้า บุคคลต่างด้าว รวม 17 ราย เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2568

-ออกหมายจับ 28 ราย รวมนายอำเภอ-ปลัดอำเภอ

หลังมีหมายจับ นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการสืบสวน นำโดยนายวิฑูรย์ สิรินุกุล รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายการทะเบียนและเทคโนโลยีสารสนเทศ และนายรัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย สำนักการสอบสวนและนิติการ โดย พล.ต.ท. ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มอบหมายให้ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำทีมร่วมกับ พล.ต.ต. ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. และ นายพัฒนพงศ์ จันทรเพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ต.ท. สิริพงษ์ ศรีตุลา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. และ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิวัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ และนายเกรียงไกร สืบสัมพันธ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาคและโฆษก DSI ได้ร่วมกันเปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” ปราบปรามขบวนการทุจริตเพื่อให้คนต่างด้าวได้สถานะอยู่อาศัยถาวรในประเทศไทย โดยกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ออกเป็น 12 ชุด ดำเนินการ ดังนี้

ทั้ง 5 หน่วยงาน ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน 12 ราย ในพื้นที่ อ. เวียงแหง จ. เชียงใหม่ 8 ราย ในพื้นที่ อ. ภูซาง จ. พะเยา 1 ราย ในพื้นที่ อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่ 1 ราย ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร 1 ราย และในพื้นที่ จ. สมุทรสาคร 1 ราย

ชุดปฏิบัติการตัดหมอกเวียงแหง ยังได้ทำการตรวจค้นพื้นที่ จำนวน 12 แห่ง พบพยานหลักฐานสำคัญ เช่นที่บ้านของนายหน้า พบอาวุธปืน รวม 8 กระบอก เป็นอาวุธปืนพกสั้น 5 กระบอก ปืนยาว (ลูกซอง) 2 กระบอก ปืนเดี่ยวลูกกรด 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนอีกจำนวนมาก สมุดบัญชีธนาคาร และ เอกสารแบบคำขอแบบ 89

ส่วนที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน พบอาวุธปืน รวม 3 กระบอก ทั้งอาวุธปืนลูกกรด 1 กระบอก ปืนยาว (ลูกซอง) 1 กระบอก อาวุธปืนยาวเดี่ยวไรเฟิล 5.56 พร้อมแมกกาซีน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง รวมถึง หนังสือรับรองการเกิดบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน และ แบบพิมพ์ทะเบียนประวัติผู้ใช้แรงงานจากประเทศเมียนมา

นอกจากนี้ผลการตรวจค้น ที่ว่าการอำเภอเวียงแหง พบเอกสารเกี่ยวกับแบบคำขอมีสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิ วรรค 2 แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และแบบคำขอเกี่ยวกับสถานะบุคคลอื่น ๆ จำนวนมากที่มีพิรุธสงสัย รวมทั้งข้อมูลการทำงานของผู้ต้องหาตามหมายจับ (อดีตเจ้าหน้าที่ทะเบียน) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว

ผลการตรวจค้นและติดตามหมายจับ ได้นำตัวผู้ถูกจับกุมและของกลางส่งพนักงานสอบสวน ปปป. โดยมีการแจ้งข้อหาที่สำคัญ เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 83 และกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสารเท็จ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 และร่วมกัน ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50

-พบหลักฐานชัดสวมสิทธิคนต่างด้าวเอื้อจีนเทา

สำหรับบุคคลที่พบว่ามีหนังสือเดินทางสัญชาติจีน จำนวน 3 รายนั้น จากฐานข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า ทั้ง 3 ราย ได้เดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทยไปแล้ว

โดยเมื่อวันพุธที่ 19 พ.ย. 68 หลังจากการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและตรวจค้นสถานที่ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ได้พบพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึง นายขวัญชัย เนื่องจำนงค์ นายอำเภอเวียงแหง และนายหน้า ของขบวนการนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับนายอำเภอเวียงแหง และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องดังกล่าวต่อศาล และนายอำเภอเวียงแหงได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ส่วนนายหน้าของขบวนการนี้ จะเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

-สั่งย้ายนายอำเภอเวียงแหงและปลัดอำเภอแล้ว

นอกจากนี้ กรมการปกครอง ได้มีคำสั่งย้ายนายอำเภอเวียงแหง และปลัดอำเภอ 2 ราย คือ นายอภิสิทธิ์ จันทร์คำ และ นายสรรเสริญ พงษ์พิพัฒน์ ไปช่วยราชการที่กรมการปกครองแล้ว เพื่อไม่ให้มีการเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานที่สำคัญในคดี และกองการเจ้าหน้าที่ จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการทางวินัยโดยเด็ดขาดต่อไป

ซึ่งจากการตรวจสอบเชิงลึกยังพบอีกด้วยว่า ขบวนการนี้มีประวัติการเข้าถึงข้อมูลรายการทะเบียนราษฎรของบุคคลต่างด้าวที่สวมตัวเป็นคนไทยในพื้นที่เทศบาลนครรังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา กองบังคับการปราบปรามและกรมการปกครองได้ร่วมกันจับกุมกลุ่มนายหน้าและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากกรณีมีการโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ รับจ้างจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนคนไทย ผ่านแพลตฟอร์ม (Platform) โซเชียลมีเดีย (Social Media) ของประเทศจีน ชื่อ “เสี่ยวหงชู (XiaoHongShu)” โดยการกระทำผิดทั้งสองพื้นที่นี้น่าเชื่อว่า เชื่อมโยงเป็นขบวนการเดียวกัน จึงถือได้ว่า กลุ่มนายหน้าและเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้ เข้าข่ายเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยอย่างร้ายแรง

-ขยายผลหากพบทำผิดจะถูกเพิกถอนสัญชาติ

หลังจากนี้ กรมการปกครองจะแจ้งให้จังหวัดเชียงใหม่ดำเนินการตรวจสอบและเร่งรัดเพิกถอนรายการทางทะเบียนที่ดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด และจะมีการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม โดยให้ชุดสืบสวนเข้าตรวจสอบรายการทางทะเบียนคนต่างด้าวของอำเภอเวียงแหงต่อไป และจะไปตรวจสอบท้องที่อื่นที่มีกลุ่มเป้าหมายนี้อีก โดยหากตรวจพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้ใดหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีการจับกุมและดำเนินคดีโดยเด็ดขาด รวมทั้งหากมีผู้กระทำความผิดรายใดเป็นบุคคลที่ได้รับสัญชาติไทยและมีการกระทำที่เข้าเงื่อนไขที่อาจถูกเพิกถอนสัญชาติได้ กรมการปกครองจะดำเนินการเพิกถอนสัญชาติไทยโดยทันที

ตลอดจนกรณีนี้ยังเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานของการฟอกเงิน ที่จะมีการส่งข้อมูลให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย โดยกรมการปกครองในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จะส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

-เปิดความสำคัญ บัตรเลข 8 ช่องว่างทุจริต

ทั้งนี้ สิทธิของบัตรต่างด้าวที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (บัตรเลข 8) เป็นบัตรที่ให้สิทธิกับคนต่างด้าว ในหลายด้าน จนกลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต เพราะจะทำให้ได้รับสิทธิอาศัยและการเดินทาง มีชื่อเข้าทะเบียนบ้าน มีสิทธิอาศัยอยู่ในไทยได้ถาวร โดยไม่ต้องขอวีซ่า เข้ามาเป็นชั่วคราว 30 วัน 90 วัน และไม่ต้องขออนุญาตออกนอกเขตควบคุมและสามารถนำไปขอหนังสือเดินทางเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ จากกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ และยังมีสิทธิซื้ออาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม ในประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องโอนเงินจากต่างประเทศเข้ามาเหมือนคนต่างด้าวอื่น ๆ

นอกจากนี้ เมื่อมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (บัตรเลข 8) ครบ 5 ปี สามารถขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ หรือ กรณีที่บิดาและมารดา มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (บัตรเลข 8) หากได้มีบุตรที่เกิดในประเทศไทย บุตรนั้นจะได้สัญชาติไทยโดยการเกิดทันที และสามารถเป็นกรรมการในบริษัทมหาชนได้อย่างเสรีไม่ติดเงื่อนไขเรื่องจำนวนคนต่างด้าว และสามารถขอใบอนุญาตทำงานได้หลากหลายประเภท เช่น ตั้งแต่กรรมกรจนถึงกรรมการบริษัท

ในกรณีดังกล่าวรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนว่าจะให้สิทธิเฉพาะผู้ไร้สัญชาติกลุ่มเป้าหมาย ที่มีการจัดทำทะเบียนไว้อย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันการแฝงตัวของบุคคลที่ไม่สุจริตหรือผู้มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรงที่อาจเชื่อมโยงกับเครือข่าย “จีนเทา” ที่ประกอบกิจการผิดกฎหมาย เช่น กลุ่มสแกมเมอร์ การพนันออนไลน์ และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชน

กรมการปกครองจึงได้มุ่งเน้นการปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติทุกรูปแบบ หากพบว่ามีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตผิดกฎหมาย จะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป หากปัจจุบันประชาชนพบเห็นการทุจริตทางทะเบียนในท้องที่ใดสามารถแจ้งตรงได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด/อำเภอ (สายด่วน 1567) หรือศูนย์ดำรงธรรม กรมการปกครอง (วังไชยา) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2356 9511 ได้ในทันทีอีกช่องทางหนึ่งด้วย

รายงาน: ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

Related Posts

Send this to a friend