รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล วอนสังคมอย่าตีตราเหยื่อ ‘เล้าก์ก่าย‘ เป็นอาชญากรซ้ำ
รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล วอนสังคมอย่าตีตราเหยื่อ ‘เล้าก์ก่าย‘ เป็นอาชญากรซ้ำ ย้ำเป็นผู้เสียหายค้ามนุษย์ หลักฐานชัด ถูกทำร้าย-บังคับให้ทำ
วันนี้ (20 พ.ย. 66) นายจารุวัฒน์ จิณห์มรรคา รองประธานมูนิธิอิมมานูเอล ให้สัมภาษณ์กับ The Reporters หลังคนไทยกว่า 266 คนถูกช่วยเหลือจากเมืองเล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมา มาถึงประเทศไทยแล้ว ขณะนี้อยู่ในกระบวนการ NRM อยู่ที่ศูนย์การเรียนรู้มหานคร เขตหนองจอก กทม.
นายจารุวัฒน์ กล่าวว่า ทั้ง 266 คนกลับมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ง แต่ยังเหลือติดค้างอยู่อีกประมาณ 30 คน ในเมืองเล้าก์ก่าย มีลักษณะกระจัดกระจายยังอยู่ในกระบวนการประสานงาน โดยทางมูลนิธิอิมมานูเอลได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้ปกครองว่าลูกถูกหลอกไปทำงานในประเทศเมียนมา ในเขตปกครองพิเศษเมืองเล้าก์ก่าย ติดชายแดนประเทศจีน ถูกลวงหลอกให้ไปทำงาน ถูกบังคับให้ทำงานต้มตุ๋น ถูกทำร้ายร่างกาย และได้แจ้งไปหลายหน่วยงานแล้วไม่ได้รับการช่วยเหลือ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2566
แต่เนื่องจากเป็นกรณีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร จึงยากต่อการประสานงาน โดยมูลนิธิที่อิมมานูเอล เป็นองค์กรเพื่อช่วยเหลือเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ ได้กลั่นกรองข้อมูล พบว่า ผู้เสียหายกลุ่มนี้เป็นผู้เสียหายจากขบวนการค้ามนุษย์จริง ด้วยวิธีการการเดินทางเข้าไป รวมถึงการบังคับให้ทำงาน เป็นวิธีการที่เข้าองค์ประกอบของขบวนการค้ามนุษย์ มีการกักขังและหลอกลวงเข้าไป แม้จะดูเหมือนการสมัครใจเข้าไป แต่มีลักษณะการบังคับให้ทำ กักขังหน่วงเหนี่ยว ไม่สามารถออกจากอาคารได้ เข้าไปในอาคารไหนก็ต้องอยู่ในอาคารนั้น หากดื้อไม่เชื่อฟังคำสั่งของบอสชาวจีนเทา จีนดำ ก็จะมีการทำร้ายร่างกาย การทำโทษสารพัด การยึดพาสปอร์ต ยึดโทรศัพท์มือถือ หลายคนติดต่อกลับหาญาติไม่ได้ต้องแอบติดต่อ อาจมีช่วงให้ติดต่อญาติประมาณ 1-2 นาที และมีล่ามจีนนั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ฟังว่าเหยื่อสื่อสารกับผู้ปกครองว่าอะไร ผู้เสียหายต้องแอบทุกวิถีทางกว่าจะร้องเรียนได้ นายจารุวัฒน์ ย้ำว่า “ทุกอย่างอยู่ในองค์ประกอบของขบวนการค้ามนุษย์“
ส่วนกระบวนการช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะเมื่อเราส่งรายชื่อเข้าไปในระบบของสถาน เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง เหยื่อก็จะถูกทำร้ายร่างกายทันที ทางมูลนิธิและผู้ปกครองก็ส่งขอความช่วยเหลือไปยังทุกที่จนสุดท้ายมีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกองกำลังกลุ่มชาติติพันธ์และทางการจีนเข้าไปจับกุมแกนนำของขบวนการค้ามนุษย์ที่เป็นชาวจีนช่วงปลายเดือนตุลาคม คนไทยกลุ่มหนึ่งจึงใช้ช่วงจังหวะกวาดล้างหนีออกมาและได้รับการช่วยเหลือจากทางการเมียนมาประมาณ 120 คน มูลนิธิอิมมานูเอลจึงช่วยเหลือประสานงานกังทางการเมียนมาให้ไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
”เราเป็นห่วงพวกเขาจริงๆ เพราะเรารู้ว่านี่คือเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ จึงได้รวบรวมเพื่อให้เขาได้กลับมาประเทศไทย กลับสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตอนนี้มีความกังวลว่าเจ้าหน้าที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่า พวกเขาเป็นมายังไง พร้อมทั้งญาติก็เป็นห่วง จึงจะยื่นหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง“
นายจารุวัฒน์ เผยว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมามูลนิธิทำงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีค้ามนุษย์ แต่ในกระบวนการคัดกรองครั้งนี้ ยังไม่เจอตัวแทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งยังมีความสับสนอยู่ กังวลว่าจะมีการตั้งธงว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นอาชญากรข้ามชาติมากเกินไป พวกเขาถูกหลอกไป ถูกบังคับกักขัง ทำอะไรไม่ได้ กลับมาต้องถูกดำเนินคดีอีก เป็นความเป็นห่วงของมูลนิธิอิมมานูเอล
นายจารุวัฒน์ แสดงความกังวล กรณีที่สังคมตีตราบุคคลเหล่านี้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นนักต้มตุ๋นตนอยากให้คนในสังคมเข้าใจองค์ประกอบ ของสถานการณ์ที่คนไทยเหล่านี้ต้องเผชิญจากการถูกล่อลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เราต้องโทษตัวการนักต้มตุ๋นแก๊งค้ามนุษย์ตัวจริง คนไทยเหล่านี้เป็นผู้เสียหายจริงๆ เป็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก ขอความเมตตาและความเป็นธรรมจากที่เขาถูกหลอก ถูกบังคับทำร้ายร่างกาย แล้วยังถูกสังคมตีตราซ้ำอีกครั้ง
ตัวอย่างกรณีผู้เสียหายที่มาจากชุมชนหนึ่งในจังหวัดเชียงรายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงไปทำงานผ่านทางช่องแชท Tiktok และ Facebook ชวนให้หลงเชื่อว่าจะไปทำงานในกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา มีรายได้ดี ขบวนการซื้อตั๋วเครื่องบินจากกรุงเทพไปที่ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา แล้วไม่ได้พาที่ย่างกุ้งอย่างที่ได้บอกไว้กลับพาที่เมืองห่ายเมื่อไปถึงในตึกก็ถูกขังถูกยึดพาสปอร์ตถูกบังคับให้ทำงานสอนงานให้ทำคนที่ปฏิเสธจะถูกเรียกค่าไถ่ทันที คนที่ไถตัวออกมาได้ต้องเสียเงินคนละ 250,000 บาท ที่บ้านต้องเอาที่ดินไปจำนอง เขาปล่อยตัวที่หน้ารั้วประตู กลับออกมาไม่ได้ ได้รับความช่วยเหลือจากภาคประชาชนจัดหาพื้นที่ปลอดภัยให้ ส่วนคนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าไถ่ ก็ถูกบังคับให้ทำงาน พอทำยอดไม่ได้ก็ถูกทำร้ายร่างกาย มีบางรายบาดเจ็บหนักจนเพื่อนที่เป็นเหยื่อด้วยกันก็ไม่พบเขาอีกต่อไป
