POLITICS

ศบ.ทก.ชี้ คลิปวางทุ่นระเบิดเป็นหลักฐานสำคัญ กัมพูชาละเมิดข้อตกลง

ศบ.ทก. ชี้คลิปวางทุ่นระเบิดเป็นหลักฐานสำคัญ กัมพูชาละเมิดข้อตกลง-ขัดอนุสัญญาระหว่างประเทศ กต.จ่อฟ้องที่ประชุม คกก.อนุสัญญาออตตาวา ศุกร์นี้ ย้ำ บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นของไทย 100 % ชี้ ติดตั้งลวดหนามเป็นสิทธิปกป้อง-คุ้มครองคนไทย ไม่ให้ลุกลาม ด้าน กต. บอก กัมพูชา บิดเบือน บอกไทยจัดฉากใส่ชุดทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด จ่อนำหลักฐานฟ้อง ทูตผู้แทนถาวรไทยในเจนีวา

วันนี้ (20 ส.ค. 68) ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา แถลงข่าวภายหลังการประชุม โดยมี พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก. ด้านความมั่นคง และ นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และ นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแพลงด้วย

พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า สถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วไปในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ภาพรวมอยู่ในสภาวะปกติ ส่วนการตรวจพบโทรศัพท์มือถือของฝ่ายกัมพูชา โดยกองทัพเรือ ได้ตรวจพบหลักฐานสำคัญ ยืนยันว่าทหารกัมพูชาลักลอบใช้ทุนระเบิด PMN-2 บริเวณภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีวิดีโอ และภาพถ่ายชัดเจนว่าทหารกัมพูชากำลังถือทุ่นระเบิด PMN-2 พร้อมบันทึกเสียงเป็นภาษาแขมร์ คาดว่าเป็นการสาธิตการใช้งานทุ่นระเบิด ก่อนนำไปฝังไว้ในพื้นที่ชายแดนไทย ซึ่งในหลักฐานยังระบุวัน เวลา และสถานที่ด้วย จึงถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญว่ากัมพูชา ละเมิดข้อตกลงและการใช้ทุ่นระเบิด ขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ซึ่งทางกองทัพได้ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำไปเป็นหลักฐานประกอบ ยืนยันการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา ซึ่งจะเข้าในที่ประชุมของคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวา ที่ดูแลเรื่องการปฏิบัติของอนุสัญญาโดยเฉพาะที่จะมีการประชุมในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคมนี้ด้วย

ส่วนการปฎิบัติของผู้สังเกตการณ์ IOT ระหว่างวันที่ 18 ถึง 20 สิงหาคมที่ผ่านมา พลเรือตรีสุรสันต์ ระบุว่า 18 สิงหาคม คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวไปรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ที่ มทบ.22 โดยมีรองแม่ทัพภาคที่สอง เป็นผู้แทนให้การต้อนรับและชี้แจงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย

จากนั้น 19 สิงหาคม เดินทางไปที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีเป็นจุดที่กัมพูชามาตัดลวดหนามของฝ่ายไทย ซึ่งไทยได้ชี้แจงให้คณะผู้สังเกตการณ์ฟังว่าเป็นพื้นที่ของประเทศไทยอย่างชัดเจน ก่อนจะเดินทางไปที่ผามออีแดงไปรับฟังการยิงของกัมพูชา โดยใช้ จรวด BM 21 เข้ามาฝั่งไทยทำให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

จากนั้น ไปที่ภูมะเขือ ฐานกฤษณา ซึ่งเป็นจุดที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด และมีการตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมอีก ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงถึงการปฎิบัติของฝ่ายไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และมีการตรวจสอบแล้ว พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ช่วยเหลือส่งศพทหารกัมพูชาที่ตกค้างในพื้นที่ ส่งคืนฝ่ายกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนวันสุดท้าย คือ วันนี้ (20 ส.ค.) วันสุดท้ายของการสังเกตการณ์ จะไปสถานที่ควบคุมเชลยศึกกัมพูชา 18 คนตามอนุสัญญาเจนีวา และไปโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ที่โดนจรวด BM 21 ได้รับความเสียหาย และไปที่ช่องจุ๊ปตะโมก จุดที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดด้วย โดยหลังจากการสังเกตการณ์นี้ทั้งหมดแล้ว ไทยโดยกองบัญชาการกองทัพไทย จะจัดประชุมสรุปผลการปฎิบัติการในวันที่ 21 สิงหาคม รวมทั้งจัดตั้งสำนักงานประสานงานกับคณะผู้สังเกตการณ์ ที่กองทัพไทย ส่วนต่างชาติและผู้สังเกตการณ์อาเซียนก็จะนำข้อมูลที่ได้ไปนำแจ้งในสายงานกองทัพของตนเอง

พลเรือตรีสุรสันต์ ระบุอีกว่า พื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เดิมเคยเป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชา ที่หนีสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายในประเทศกัมพูชามาพักพิงที่นี่ พบว่ามีการขยายชุมชนรุกล้ำอธิปไตยไทย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2543 อย่างชัดเจน โดยฝ่ายไทยได้มีการประท้วงหลายครั้ง แต่ฝ่ายกัมพูชากลับใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์กำบัง

นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังนำความช่วยเหลือนี้ไปบุกรุกพื้นที่ที่คนไทยเคยทำมาหากินต้องอพยพออกจากพื้นที่ไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา และเจตนาร้ายในการรุกล้ำพื้นที่อย่างชัดเจน

ส่วนการติดตั้งลวดหนามของฝ่ายไทย พลเรือตรีสุรสันต์ ระบุว่า เป็นสิทธิในการปกป้องและคุ้มครองประชาชนคนไทยและความมั่นคงของไทย ป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามเพิ่มเติม รวมถึงเป็นการลักลอบการวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชาด้วย ย้ำว่าไทยปฏิบัติตามข้อตกลง GBC ที่มีการลงนามข้อตกลงกันไปแล้ว ยืนยันพื้นที่นี้เป็นของไทย 100 %

นางมาระตี กล่าวว่า การลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์ไทยกัมพูชา ที่จังหวัดศรีสะเกษ นอกเหนือจากคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวแล้ว ยังมีกระทรวงการต่างประเทศที่ได้จัดคณะลงพื้นที่ไปด้วยเป็นครั้งที่สอง ของภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่เป็นการลงพื้นที่ ที่เป็นเรื่องของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยเฉพาะ นำ คณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นคณะทูตผู้แทนรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคม ที่ทำงานด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้ง สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ได้รับฟังข้อมูลและไปเห็นหลักฐานเชิงประจักษ์จากทุ่นระเบิดและอาวุธอื่นๆที่ฝ่ายไทยได้เก็บกู้มาว่าเป็นการลอบวางใหม่โดยฝ่ายกัมพูชาที่มีเจตนาใช้และได้ใช้เรียบร้อยไปแล้ว ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนต่างประเทศให้ความสนใจเป็นพิเศษในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ได้สัมผัสและได้รับรู้ข้อมูลตัวทุ่นระเบิด และได้สอบถามจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ กระทรวงการต่างประเทศยินดีที่จะรับการประสานให้ข้อมูลกับสื่อต่างประเทศ เพื่อให้ได้เผยแพร่ข้อมูลที่เท็จจริงไปสู่โลกภายนอก การลงพื้นที่ของคณะผู้แทนจากต่างประเทศในครั้งนี้ย้ำชัดว่า ไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ และไม่มีอะไรที่จะปิดบัง สะท้อนด้วยว่าเป็นฝ่ายกัมพูชาที่กำลังบิดเบือนข้อเท็จจริง และกำลังเล่นละครฉากใหญ่ โดยอ้างว่าเป็นผู้ถูกกระทำอย่างไร้หลักฐานมาโดยตลอด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์กรระหว่างประเทศจะทบทวนความช่วยเหลือกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและร่วมกันกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามพันธะกรณีในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา รวมทั้ง ข้อตกลงการหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา

นางมาระตี กล่าวระบุถึงคลิปวิดีโอเก็บภาพทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิดในไทยนั้น ที่ยังมีความพยายามบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา ว่า เป็นนักแสดงไทยนำเอาชุดทหารกัมพูชามาสวมใส่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า คลิปวิดีโอดังกล่าวนั้นเป็นเหตุการณ์จริง ซึ่งจะนำไปประกอบเป็นหลักฐานข้อมูลที่ฝ่ายไทยจะนำไปชี้แจงฟ้องกัมพูชาในกรอบของอนุสัญญาออตตาวา ที่กระทรวงกต่างประเทศกำลังเดินเรื่องอยู่ และในวันที่ 22 สิงหาคมนี้จะมีการประชุมของคณะกรรมการกรอบอนุสัญญาออตตาวา ที่ดูแลเรื่องของการปฎิบัติตามอนุสัญญาโดยเฉพาะ คณะกรรมการนี้ได้มีการประชุมแล้วหลายรอบ ซึ่งในครั้งนี้ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา จะเข้าร่วมเพื่อสืบข้อเท็จจริงของหลักฐานทั้งหมดที่ฝ่ายไทยที่เก็บมาเพื่อเป็นข้อมูลชี้แจงที่มีน้ำหนัก

นอกจากนี้ ความร่วมมือของไทยในกรอบคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือ ICRC ในช่วงระหว่างวันที่ 11-14 สิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กองทัพบกได้นำผู้แทนของคณะกรรมการกาชาดฯลงพื้นที่ แต่การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อติดตามการดูแลทหารกัมพูชาที่ดูแลอยู่ในการดูแลของฝ่ายไทย แต่เพื่อรับทราบข้อมูลความเสียหายและผลกระทบของประชาชนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการโจมตีที่ไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญของความพร้อมที่ฝ่ายไทยมีในเรื่องของความร่วมมือกับองค์กรนี้ และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ไทยยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนหลักปฏิบัติสากลต่างๆ

ทั้งนี้ ศบ.ทก ยังคงขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนทุกท่านให้ระมัดระวังเรื่องข่าวบิดเบือนในขณะนี้ต้องช่วยกันแชร์ข้อมูลชี้แจงที่ตอบโต้ข่าวบิดเบือนที่หน่วยงานราชการได้จัดทำ เพื่อตอบโต้การจัดฉากที่นำเสนอโดยฝ่ายกัมพูชา

Related Posts

Send this to a friend