POLITICS

‘ปารมี’ เผย กยศ.ขาดสภาพคล่องหนักมาก หวั่นตัดเงินกู้ทำเด็กหลุดนอกระบบ

‘ปารมี’ ถามจัดงบการศึกษาแบบนี้ ความเหลื่อมล้ำหมดกี่โมง เผย กยศ.ขาดสภาพคล่องหนักมาก หวั่นตัดเงินกู้ทำเด็กหลุดนอกระบบ เปิดข้อมูลทุจริต ครูจ่ายใต้โต๊ะขอบรรจุโรงเรียนในเมือง

วันนี้ (20 มิ.ย. 67) ปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ไม่เห็นด้วยกับการจัดงบด้านการศึกษาของรัฐบาล จัดงบแบบนี้ความเหลื่อมล้ำการศึกษาจะหมดกี่โมง เมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) รายงานตัวเลขเด็กที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา พบเด็กหลุดออกนอกระบบ 1.02 ล้านคน คิดเป็น 8.4% ของนักเรียนทุกสังกัดที่มี 12 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก สะท้อนว่าใน 100 คนของเด็กไทย จะมี 8 คนที่หลุดออกนอกระบบ สาเหตุสำคัญคือความยากจน

กสศ.สำรวจความต้องการของเด็กกลุ่มนี้พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน เกือบครึ่งต้องการฝึกอาชีพ ต้องการทำงานมากกว่าเรียน แสดงว่าระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ ที่หลุดออกนอกระบบไปแล้วยังมีบางส่วนสามารถช่วยกลับเข้าสู่ระบบได้ แต่อีกส่วนไม่สามารถดึงกลับมาได้อีกแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมากกว่านี้ โดยการให้ความสำคัญกับเด็กปัจจุบันที่ยังไม่หลุดออกจากการศึกษาแต่สุ่มเสี่ยง

ข้อมูลการสำรวจสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2566 ของ กสศ.พบมีเด็ก 2.8 ล้านคนที่ยากจนหนักมาก อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่รายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเส้นความยากจน เป็นเด็กที่ยากจนรุนแรงที่สุดในประเทศ โดยกลุ่มที่กังวลใจมากที่สุดคือ 1 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน ซึ่ง กสศ.กำลังจัดทำข้อเสนอเพื่อให้เด็กเหล่านี้เข้าระบบ

หากดูงบ กสศ.ในปีงบ 2568 จะได้งบเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขอมาทั้งสิ้น 7,800 ล้านบาท แต่รัฐบาลให้งบ กสศ.เพียง 6,900 ล้านบาท รัฐบาลบอกว่าจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างเร่งด่วน แต่กลับจัดสรรงบให้หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการแก้ความเหลื่อมล้ำไม่เพียงพอ หากอยากช่วยเด็กกลุ่มนี้ กสศ.ต้องได้รับงบประมาณเพิ่มมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามปัญหาการเข้าถึงการศึกษาไม่ได้พบแค่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่พบในระดับอุดมศึกษาด้วย ข้อมูลจาก กสศ.ระบุว่าปี 2566 เด็กกลุ่มยากจนรุนแรงมากที่สุดต่อระดับอุดมศึกษาได้เพียง 12.4% ยิ่งการศึกษาในระดับสูงขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสริบหรี่ แทนที่การเรียนต่อจะเป็นหนทางต่อบันไดเลื่อนชนชั้น ลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ แต่กลับกลายเป็นระบบการศึกษาไทยที่มีราคาแพงทำลายโอกาสในการเลื่อนชนชั้น สาเหตุเพราะค่าใช้จ่ายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ TCAS สูงมาก ผลักเด็กที่มีความสามารถแต่ไม่มีความพร้อมด้านการเงินให้เข้าไม่ถึง ตัดโอกาสตั้งแต่ต้นทาง

นายปารมี ยังเปิดเผยอีกว่ากองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กำลังมีปัญหาใหญ่ขาดสภาพคล่องหนักมาก ไม่แปลกใจที่เห็น กยศ.กลับมาขอรับงบประมาณในรอบหลาย 10 ปี โดยปีนี้ส่งคำของบมาสูงถึง 19,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลให้แค่ 800 ล้านบาท ซึ่งไม่ถึง 5% ของงบที่ขอมา รัฐบาลเพิกเฉยต่อสภาพคล่องของ กยศ. และไม่จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ ซึ่งอาจจำเป็นต้องตัดเงินกู้ยืมในปีการศึกษานี้ ถ้าปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข งบประมาณยังไม่ได้รับ อาจจะต้องตัดเงินกู้ยืมของเด็กที่เข้าโครงการไปแล้ว ซึ่งจะไม่มีเงินเรียนต่อ เด็กต้องเลิกเรียนกลางคัน ทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา

นอกจากนี้ประเทศเรายังมีความเหลื่อมล้ำในคุณภาพการศึกษา เด็กสองคนมาจากครอบครัวที่ฐานะต่างกัน จึงได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพต่างกัน หากดูคะแนน PISA ปี 2022 พบว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่รวยที่สุด จะได้คะแนนวิชาการการอ่านมากกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนถึง 64 คะแนน ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ เด็กโรงเรียนในชนบทได้คะแนนน้อยกว่าโรงเรียนในเมือง 45 คะแนน เพราะโรงเรียนในชนบทขาดแคลนทุกอย่าง งบรายหัวน้อย อาคารเรียนผุพัง น้ำไฟไม่มี ครูไม่ครบ ครูในโรงเรียนชนบทบางคนเป็น ผอ.ยันภารโรง

ประเทศเราไม่ได้ขาดแคลนครู แต่ครูกระจุกตัวอยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมือง ทำให้โรงเรียนในชนบทขาดแคลนครูอย่างหนัก เพราะครูในโรงเรียนชนบทงานหนักมากแต่เงินเดือนเท่ากับครูในเมือง เกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะก็ใช้เกณฑ์เดียวกับครูในเมือง สถานการณ์เช่นนี้ยังจะนำไปสู่การทุจริต หากครูอยากจะย้ายเข้าไปอยู่โรงเรียนในเมือง ต้องจ่ายใต้โต๊ะกิโลเมตรละ 100,000 บาท วัดจากระยะทางโรงเรียนเก่า-โรงเรียนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลด

เมื่อไม่กี่วันมานี้มีเรื่องข้อสอบครูผู้ช่วยที่ง่ายกว่าข้อสอบเข้าโรงเรียนมัธยม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับมาตรฐานการผลิตครู มีปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การคัดกรองนิสิตนักศึกษาครูของแต่ละสถาบันมีมาตรฐานไม่เท่ากัน กลางน้ำคือ หลักสูตรการผลิตครูที่ไม่เท่ากัน และปลายน้ำ ครูที่มีมาตรฐานไม่เท่ากัน เมื่อสอบใบประกอบวิชาชีพ หรือครูผู้ช่วย จึงไม่ผ่าน ดังนั้นสถาบันผลิตครูจึงมีควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อครูที่ไม่ได้มาตรฐาน

ส่วนโครงการ Anywhere Anytime มีวงเงินมากกว่า 20,000 ล้านบาทในงบผูกพัน 5 ปี เพราะรัฐบาลจัดอุปกรณ์ไม่ครอบคลุม ให้เฉพาะเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 6 แสนคนในสังกัด สพฐ.เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนในโครงการโรงเรียนคุณภาพที่มีความพร้อมอยู่แล้ว เชื่อว่าโครงการนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบทได้ แต่จะเป็นการช้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้หนักมากขึ้น

รัฐบาลต้องให้ความชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาโรงเรียนในชนบทและโรงเรียนขนาดเล็กอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยตามมีตามเกิด หากจะมีการควบรวมก็ต้องทำ หรือมีทางเลือกใหม่ เช่น การถ่ายโอนโรงเรียนให้กับท้องถิ่น มีงบอุดหนุนเฉพาะกิจ เพื่อให้ท้องถิ่นใช้ประโยชน์ได้ ความเหลื่อมล้ำที่สูงทั้งหมดเป็นปัญหาที่มีมายาวนาน หนีไม่พ้นที่จะต้องมีจินตนาการใหม่ในการจัดสรรงบประมาณใหม่ไม่ใช่แค่ตัด ๆ ลด ๆ เพิ่ม ๆ แบบที่ผ่านมา

นายปารมี กล่าวถึง 6 ข้อเสนอถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ได้แก่

1.ช่วยเหลือเด็กที่หลุดออกนอกระบบอย่างเร่งด่วน จัดสรรงบประมาณให้ กสศ.เพื่อให้ดูแลเด็กกลุ่มนี้ได้จริง

2.การศึกษาขั้นพื้นฐานต้องฟรีจริง

3.เพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจครูให้สอนโรงเรียนขนาดเล็ก

4.ปฏิรูปหลักสูตรและการศึกษาไร้รอยต่อ

5.อุดหนุนค่าใช้จ่ายในการเข้ามามหาวิทยาลัยระบบ TCAS

6.จัดงบประมาณให้ กยศ. อย่างเพียงพอ

นายปารมี ทิ้งท้ายว่าการลดความเหลื่อมล้ำทั้ง 6 ด้าน เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่เด็กคนหนึ่งที่จะได้รับการศึกษาที่ดี และมีคุณภาพจะเป็นบันไดสำคัญที่นำไปสู่รายได้ และโอกาสของชีวิตที่จะช่วยให้พวกเขาหลุดจากวังวนแห่งความยากจนซ้ำซาก หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐ จะไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กคนหนึ่ง แต่จะเป็นปัญหาสังคมอื่นที่ตามมามากมาย จึงไม่เห็นด้วยกับการจัดงบปี 68 ที่เพิกเฉยต่อความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หวังให้รัฐบาลจัดใหม่ เพื่อให้ความเหลื่อมล้ำหมดสิ้น ไม่ให้เด็กไทยหลุดออกจากระบบ และครูมีคุณภาพเสมอภาค

Related Posts

Send this to a friend