นายกฯ เชื่อ รัฐบาลแจงโครงการดิจิทัล วอลเล็ตครบถ้วน มั่นใจ ‘คลัง’ มีไทม์ไลน์ชัดเจน
นายกฯ เชื่อ รัฐบาลแจงโครงการดิจิทัล วอลเล็ตครบถ้วน มั่นใจ ‘คลัง’ มีไทม์ไลน์ชัดเจน ทัน 1 ต.ค. นี้ แน่นอน มอง เพื่อไทย – ก้าวไกล โต้กันไปมา เป็นวาทกรรม ชี้ ตนเองไม่อยากให้ใช้คำพวกนี้ ยอมรับฝ่ายนิติบัญญัติกังวล ปมศาลรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (20 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่สอง สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ถึงกรณี การอภิปรายของฝ่ายค้านเรื่องการนำงบประมาณมาทำโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ว่า คิดว่าชี้แจงครบแล้ว เรื่องดิจิทัล วอลเล็ต คงเป็นข้อกังขามากกว่า ว่าจะมาช่วยเศรษฐกิจอย่างไร เคยอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ว่าการนำเงินเข้ามาในระบบทีเดียว 5 แสนล้านบาท ในระบบเศรษฐกิจภูมิภาค และใช้ในพื้นที่ตามบัตรประชาชน ในระยะเวลาที่กำหนด หากเราทราบวันที่แน่นอนในการใช้ ตนเองเชื่อว่า อุตสาหกรรมเอสเอ็มอีจะมีการเร่งการผลิต เพื่อรองรับกำลังซื้อที่เข้ามา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่ออีกว่า เราต้องทำให้เกิดการสมดุลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงนโยบายอื่น ๆ ที่จะเอามากระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนข้ามชาติ หรือบริษัทข้ามชาติ มีการจ้างงาน สร้างการผลิต ยกระดับอุตสาหกรรมไทยขึ้นไป ในระหว่างนั้น หากดิจิทัล วอลเล็ต เข้ามาช่วย ประกอบกับการลงทุนกับต่างประเทศเข้ามา ทำให้จีดีพีโตขึ้น และก็จะเกิดการใช้หนี้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการทำโครงการนี้ ว่า ก็เป็นการเห็นต่างที่ต้องพูดคุยกันต่อไป
สำหรับความกังวลในการอภิปรายของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่บอกว่าร่าง พ.ร.บ. ปี 68 จะผ่านสภาในวาระหนึ่งวาระสองเท่านั้น ส่วนวาระสามอาจต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ต้องให้ให้เกียรติทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายนิติบัญญัติที่มีความไม่สบายใจที่จะทำ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องตอบคำถามต่อไป ส่วนเรื่องจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ก็ว่ากันไปตามกลไก ย้ำว่า รัฐบาลมีหน้าที่ต้องตอบ
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า กระทรวงการคลังมีไทม์ไลน์ชัดเจน และคงดำเนินการต่อไป ในเรื่องการขอความเห็นจากกฤษฎีกาตีความการใช้เงินจาก ธกส. เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว
ส่วนเรื่องการตอบโต้กันไประหว่างพรรคเพื่อไทย กับก้าวไกลในการอภิปราย ซึ่งมีการพูดถึงคำว่า เจ๊ง และการยุบพรรค นายกรัฐมนตรี มองว่า เป็นวาทกรรมที่ตอบโต้กันไป อะไรที่มันรุนแรงคำว่าเจ๊ง ตนเองก็ไม่อยากให้ใช้คำพวกนี้ หากอีกฝ่ายแรงมา ก็แรงกลับ จึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น












