‘ภราดร’ ประกาศลาออกรองประธานสภาฯ คืนอำนาจสภาสรรหาคนที่เหมาะสม หลังถูกผลักเป็นฝ่ายค้าน

วันนี้ (19 มิ.ย.68) นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ภายหลังพรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
นายภราดร กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้พูดถึงตำแหน่งของตนเองและหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง พอจะประเมินได้ว่าพรรคเราจะเดินทางไปสู่จุดไหนของการเมือง ตนเองได้ปรึกษาหารือกับนายอนุทิน กรณีที่พรรคเราจะไปเป็นเสียงข้างน้อยของสภาฯ หรือฝ่ายค้าน ตนเองจึงขอลาออกเพื่อไปทำหน้าที่ร่วมกับสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะ สส.ฝ่ายค้าน
ท่านได้ท้วงติงว่า ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามให้ดำรงตำแหน่งประธานหรือรองประธานสภาฯ ต้องลาออกในขณะที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แต่เหตุผลคือ ตนเองได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.67 ฉะนั้นแม้จะไม่มีคู่แข่งขัน แต่เป็นที่รู้กันว่าตนเองมาจากฝั่งเสียงข้างมากหรือรัฐบาล
พรรคภูมิใจไทยได้ส่งตนเองให้เป็นตัวแทนของพรรค ตระหนักดีว่ามาจากเสียงข้างมากของสภาฯ และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสภาฯ ตำแหน่งประธาน รองประธานสภาฯ ทั้งสองคน ไม่มีใครมาจากเสียงข้างน้อย แม้จะไม่ได้ระบุเอาไว้ในตัวบทกฎหมายแต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เข้าใจและถือกันมาแบบนั้น
วันนี้สถานะการเมืองพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนสถานะจากเสียงข้างมากไปอยู่ฝั่งเสียงข้างน้อย ซึ่งเมื่อคืนนี้พรรคภูมิใจไทยประกาศชัดเจนว่าจะถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และลาออกจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของฝ่ายบริหารทั้งหมด หมายความว่าพรรคภูมิใจไทยถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพรรคเสียงข้างมากไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ แต่มารยาททางการเมือง ความรับผิดชอบทางการเมืองและเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับสภาฯ ตนเองจำเป็นจะต้องตัดสินใจทางการเมือง การลาออกจากรองประธานสภาฯ เพื่อคืนอำนาจให้สภาฯ ในการสรรหาคนที่มีความเหมาะสมจากเสียงข้างมากมาทำหน้าที่ต่อไป
นายภราดร ยอมรับว่าตนเองตั้งใจจะลาออกในช่วงที่มีการเปิดสมัยประชุมสภาฯ แล้ว เพราะตั้งใจที่จะใช้เวทีสภาฯ ขอบคุณหลายส่วน แต่เมื่อสถานการณ์เร่งปฏิกิริยาให้เร็วขึ้น จึงต้องใช้เวทีนี้ ตนเองอยากขอบคุณประธานรัฐสภา ประธานสภาฯ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่ตลอดระยะเวลา 9 เดือนกับ 8 วันของตนเองในตำแหน่งหน้าที่ ท่านเอ็นดู ท่านเมตตาและให้โอกาสในการดำเนินนโยบายภายใต้ร่มใหญ่ของท่าน พยายามทำให้สภาฯ เป็นของประชาชนให้ได้ ท่านให้ตนเองดูแลในสำนักงานหลายสำนักงาน ตนเองจึงพยายามคิดนโยบายหลายอย่าง เพื่อทำให้สภาฯ ของพวกเราเป็นสภาฯ ของประชาชนอย่างแท้จริง
นายภราดร ยังขอบคุณเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่ตลอดระยะเวลาการทำหน้าที่ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ส่วนตัวตนเองมั่นใจว่าทำถูกต้อง ขอบคุณที่ทุกคำวินิจฉัย ตนเองได้รับความเคารพ และได้รับความเชื่อถือจากเพื่อนสมาชิกทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่เคารพในตัวตนเอง แต่เคารพในองค์กร เคารพคนที่ทำหน้าที่เป็นประธาน จึงขอบคุณเพื่อนสมาชิกทั้ง 495 คน
ขอบคุณเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่อยู่ในกลุ่มงานของตนเอง 10 กว่าชีวิต ทำงานกันมา 9 เดือนกว่า 8 วัน ทะเลาะกันบ้าง เห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็พยายามที่จะทำงานตามแนวทาง เชื่อว่าถ้าไม่มีมือมีไม้คิดอะไรก็ไม่สามารถเกิดเป็นรูปธรรมได้ พร้อมกับขอบคุณข้าราชการทุกระดับของสภาฯ ที่ให้ความเมตตา ตนเองรู้ว่าตำแหน่งทางการเมืองวันนี้อยู่ไม่นาน มีวันมาและมีวันไป แต่ทุกคำขอร้อง ทุกแนวทางที่ได้มอบหมายให้ไปดำเนินการทุกส่วนของสภาฯ ขอให้ช่วยดำเนินการตามแนวทางที่ได้มอบหมาย จะพูดว่าสำเร็จลุล่วงก็ยังไม่สำเร็จลุล่วงทั้งหมด
“ขอบคุณพี่น้องผมคือ พรรคภูมิใจไทย ไม่มีพวกเขา ก็ไม่มีรองประธานอย่างผม เขาสนับสนุนทุกการทำหน้าที่ของผม วันที่ผมมาดำรงตำแหน่ง เขาก็มาส่งผมวันนี้วันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งเปลี่ยนสถานะ เขาก็มารับผมกลับบ้าน”
นายภราดร ยังขอบคุณประชาชนที่ติดตามการทำหน้าที่ของสภาฯ เป็นเสาหลักของประเทศที่จะทำงานแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ขอบคุณที่ให้กำลังใจและติดตามมาโดยตลอด พร้อมฝากถึงคนที่จะมาดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 ต่อจากตนเอง ยังมีอีกหลายภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ ทั้งพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต พิพิธภัณฑ์ของประชาชนที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของกับสภาฯ
เช่นเดียวกับวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา ที่ต้องการทำให้เป็นสถานีของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เราเปิดโอกาสให้สถานศึกษาที่มีความสนใจเข้ามาใช้อุปกรณ์และสถานีได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมเยาวชนให้มีความเข้มแข็งตื่นรู้ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โครงการต่อยอดยุวชนประชาธิปไตย โครงการสภาวาที สำนักงานประชาสัมพันธ์ที่เปิดให้สภาฯ เป็นสถานที่เรียนรู้
วันที่ตนเองเข้ารับตำแหน่ง ตนเองประกาศเอาไว้ว่าจะไม่เป็นรองประธานสภาฯ ของฝ่ายรัฐบาล ของพรรคภูมิใจไทย ของฝั่งเสียงข้างมาก แต่ตนเองเป็นรองประธานสภาฯ ของสมาชิกทั้ง 495 คน เวลา 9 เดือน กับ 8 วัน เชื่อว่าสังคมได้พิพากษาว่า ตนเองได้ทำหน้าที่ตามที่ประกาศเอาไว้หรือไม่
“ผมขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 คืนอำนาจให้สภาฯ สรรหาผู้ที่มีความเหมาะสมในการจะมาทำหน้าที่นี้ต่อไป” นายภราดร กล่าว
เมื่อถามว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่มีใบสั่งใช่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า การตัดสินใจได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ดูเหมือนว่าจะผลักให้เราไปอยู่ฝ่ายเสียงข้างน้อย แม้ข้อกฎหมายจะไม่มีบัญญัติไว้ แต่มารยาททางการเมืองและสปิริตทางการเมือง สร้างบรรทัดฐานให้กับสภาฯ จึงตัดสินใจลาออก โดยไม่มีคำสั่งจากหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรค
สำหรับสถานการณ์ที่พรรคร่วมถอนตัว จะทำให้เสียงข้างมาก เป็นเสียงข้างมากจริงหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรคการเมืองที่จะแสดงจุดยืน เป็นเรื่องของพรรคใคร พรรคมัน แต่พรรคภูมิใจไทยได้แถลงจุดยืนชัดเจนไปแล้ว