POLITICS

พล.ต.ต.ปวีณ เปิดใจหลังลี้ภัยกว่า 6 ปี หากทำต่อ “คงสาวปลาใหญ่ได้อีกหลายตัว”

ฝากคนไทย ต้องกล้าหาญ-ยึดมั่นจริยธรรม ‘พรรณิการ์’ ชี้ตำรวจดีมีอยู่ แต่ไม่มีที่ยืน ‘โรม’ ระบุสังคมไทยถึงจุดวิกฤต ต้องใช้โอกาสนี้ไม่ให้เรื่องเงียบ

วันนี้ (19 ก.พ. 65) เวลา 10:00 น. นางสาวพรรณิการ์ วานิช คณะก้าวหน้า และนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าว “กว่าจะเป็นตั๋วช้าง ภาค 2” สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 กรณีการค้ามนุษย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกับ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ นายตำรวจผู้ลี้ภัยภายหลังการสอบสวนคดีดังกล่าว

พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ได้พบพี่น้องสื่อมวลชน หลังจาก 6 ปี 3 เดือน 3 วันที่จากบ้านเกิดมา วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ติดคาในใจ ที่สร้างความระทมขมขื่นในใจ ปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รัฐบาล และผู้มีอำนาจ จนเรื่องทั้งหลายถูกเปิดเผยออกมาผ่านการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร

“มีคนกล่าวหาว่าผมสร้างเรื่องวางแผนใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่อันที่จริงผมต้องใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยเหมือนคนทั่วไป วันนี้รู้สึกได้รับความเป็นธรรมมาครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งหนึ่งผมเสียดายหากวันนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนายกรัฐมนตรีที่อยากให้ประเทศเราซื่อสัตย์ กระบวนการยุติธรรมเที่ยงตรง ชีวิตราชการและความรู้ความสามารถของผมคงจะสาวไปถึงปลาตัวใหญ่อีกหลายตัวอีกแน่นอน ส่วนจะใหญ่แค่ไหนท่านทั้งหลายไปคิดกันเอาเองหลังจากฟังการอภิปรายเมื่อวาน” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว

พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวถึงผู้มีอำนาจว่า จากการที่ผมมาอยู่ต่างประเทศแล้วติดตามข่าวสารมา ผมรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่จะต้องฝากกับบุคคลแบบนี้ที่มีอำนาจ แต่ผมอยากฝากถึงพี่น้องข้าราชการตำรวจซึ่งเป็นพี่น้องร่วมประสบกับระบบที่เลวร้าย ฝากว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตรงไปตรงมา

“ไม่ว่าตำรวจหรือพี่น้องสื่อมวลชน สิ่งสำคัญมากคือศีลธรรม จริยธรรม ความถูกต้อง เรายึดถืออย่างเข้มข้น ไม่มีการกลั่นแกล้ง จะเป็นเกราะกำบังคุ้มกัน ความกล้าหาญเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถขัดขวางได้ ความกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องมันก็ไม่ง่ายในประเทศไทย แต่ถ้าทำพร้อมเพรียงกันเขาก็ทำอะไรไม่ได้” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงหากได้ทำคดีต่อ จะเปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ไปได้มากกว่านี้อย่างไร พล.ต.ต.ปวีณ ตอบว่า สิ่งที่เราทำไป คดีค้ามนุษย์โรฮิงญาไม่ใช่เพิ่งเกิดในปี 2558 มันเบ่งบานรุ่งเรืองมานานมากแต่ไม่มีใครสนใจ แต่ประเทศเราถูกกดดันจากสิทธิการค้าต่าง ๆ จนรัฐบาลร้อนก้น แต่พอทำจริงก็ถูกขัดแข้งขัดขาต่าง ๆ มันไม่พ้นความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเลย

“ผมขอยืนยันว่า การขนโรฮิงญาเข้ามา ไม่ใช่คนเดียว หน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยปละละเลย แน่นอนว่ามีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน นั้นคือผลประโยชน์ นั่นคือส่วย จนเป็นอุตสาหกรรมขนคนไปขาย ถ้าสอบสวนไปปลาตัวใหญ่ต้องมาอีกเยอะแน่นอน”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ พล.ต.ต.ปวีณ ตอบว่า เมื่อ 6 ปีที่แล้วไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเปิดเผย ผมเคยเปรยกับพี่น้องสื่อมวลชนหลายสำนัก แต่ไม่มีใครกล้าแฉ ผมเป็นคนจริง พูดไปแล้วรักษาคำพูด ผมรอเวลามานานใครก็แล้วแต่รับข้อมูลของผมไป แม้นิดเดียวก็ยังดีแล้วว่าสักวันหนึ่งคงมีใครนำไปขยาย ไม่ให้สิ่งที่ผมรับรู้อยู่มันตายไปพร้อมกับผม นี่คือความจริง นี่คือระบบที่มันทำลายประเทศชาติของเราจริง ที่ผมต้องหนีเพราะพอพูดเปิดเผยไปใครก็ไม่กล้า และไอใบสมัครแผ่นนั้นก็เป็นคำตอบทั้งหมด คงไม่ต้องขยายความไปมากกว่านี้

“…ผมก็มีความฝันอยากจะเป็นตำรวจที่ดี แน่นอนว่าอยากกลับประเทศไทย นั่นเป็นบ้านเกิดของผม ผมยังมีบุคคลอันเป็นที่รักยังอยู่ที่นั่น เป็นความหวังของผม” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวทั้งน้ำตา

ด้าน นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทบเกียรติภูมิต่อประเทศไทย และในช่วง 2-3 ปีนี้มีความรุนแรงในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับตำรวจย่ำแย่ลง เรื่องราวของ พล.ต.ต.ปวีณ ยืนยันว่าตำรวจดีมีอยู่ แต่ไม่มีที่ยืนภายใต้ระบอบปรสิตที่กัดกินประเทศ มีตำรวจอย่างคุณปวีณอีกมากมายในประเทศไทย

“ในวันนี้สังคมไทยเดินหน้ามาถึงวันที่เราตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน ตระหนักถึงการแทรกแซงการทำงานของพี่น้องตำรวจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน ขอบคุณสื่อมวลชนที่คุ้มครองพื้นที่การพูดความจริงได้ จนถึงสักวันที่ พล.ต.ต.ปวีณ จะได้กลับมา” นางสาวพรรณิการ์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีเดินออกจากที่ประชุมโดยไม่ตอบคำถามอภิปรายเมื่อวานนี้ว่า ส่วนตัวผมรับไม่ได้ นี่คือความใจดำอำมหิตอย่างที่สุดทั้งที่คุณมีอำนาจ อำนาจพิเศษไม่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ แต่กลับทำลายตำรวจดี ๆ อย่างคุณปวีณ

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรายืนยันว่าเรื่องนี้จะต้องไม่เป็นเรื่องเงียบอีกต่อไป เราต้องเดินหน้าทวงถามความยุติธรรมที่ถูกพรากไปจากพี่ปวีณ และเราต้องเดินหน้าติดตามขบวนการค้ามนุษย์ที่อยู่บนความเจ็บปวดของประชาชนชาวโรฮิงญาหรือชาติใดก็แล้วแต่ไม่ให้มีที่ยืนอยู่ได้อีกต่อไป

“นี่คงเป็นภารกิจของก้าวไกลที่ต้องทวงถาม และใช้ทุกกลไกที่เรามี อย่างถึงลูกถึงคน เพื่อเดินหน้าติดตามขบวนการค้ามนุษย์ นำหลักฐาน 270,000 กระดาษไปขยายผลต่อไป ไม่ให้ขบวนการนี้เกิดขึ้น ไม่ได้กัดกินแค่เหยื่อค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังกัดกินระบบราชการ ทำให้คนดีจำนวนมากไม่มีที่ยืน กรณีของคุณปวีณคือการบอกว่าสังคมไทยอยู่ในจุดที่วิกฤตที่สุด เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าเราจะเดินหน้าสังคมอย่างไร ในฐานะพรรคก้าวไกลเราบอกว่าเราไม่เชื่อมั่นรัฐบาลอีกแล้ว แต่เมื่อการเลือกตั้งยังมาไม่ถึง เราก็ต้องใช้ความเปลี่ยนแปลงทุกระดับ เมื่อมีโอกาสแล้วอย่าทำให้เรื่องนี้เงียบ ใช้โอกาสนี้ให้สังคมไทยนี้เติบโตขึ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend