POLITICS

‘โรม’ ห่วง วิกฤตตัดงบผู้ลี้ภัยเมียนมากำลังเข้าสู่จุดเปราะบาง

‘โรม’ ห่วง วิกฤตตัดงบผู้ลี้ภัยเมียนมาตามแนวชายแดนไทยกำลังเข้าสู่จุดเปราะบาง แนะรัฐบาลรับมือก่อนถึงเดดไลน์ เตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือ 24 ก.ค.นี้

วันนี้ (18 ก.ค. 68) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดเผยว่า สถานการณ์ของผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในค่ายตามแนวชายแดนตะวันตกของประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศตัดงบประมาณช่วยเหลือซึ่งจะมีผลสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งรัฐฯ เนื่องจากจะส่งผลกระทบอย่างหนักในหลายด้านทั้งด้านมนุษยธรรม ความมั่นคง และเศรษฐกิจของไทยเอง

นายรังสิมันต์ โรม ระบุว่า ผลกระทบจากงบประมาณที่ถูกตัด จะส่งผลต่อ ภาวะขาดแคลนอาหาร ผู้ลี้ภัยในค่ายที่มีจำนวน ไม่ต่ำกว่าหลักแสนคน กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง เนื่องจากค่าอาหารที่เคยได้รับราว 5,000–10,000 บาทต่อเดือน ได้ถูกยกเลิกไป หลายคนเกิดและเติบโตในค่ายมานานถึง 30-40 ปี ทำให้ไม่สามารถกลับไปยังประเทศเมียนมาได้แล้ว

การเข้าถึงบริการสาธารณสุข งบประมาณด้านสาธารณสุขถูกตัด ทำให้ผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บไม่มีสถานที่รักษาพยาบาลที่เพียงพอ และการขาดแคลนบุคคลากรผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในพื้นที่ อาจนำไปสู่วิกฤตสุขภาพที่รุนแรงขึ้นในค่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรัฐไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความเสี่ยงด้านความมั่นคง หากสถานการณ์เลวร้ายลง มีความเสี่ยงสูงที่ผู้ลี้ภัยจำนวนมากจะตัดสินใจออกจากค่าย เพื่อหาทางเอาชีวิตรอดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนและปัญหาทางสังคมในท้องถิ่น เกิดการจ้างงานอย่างผิดกฎหมายซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิแรงงาน

องค์กรด้านมนุษยธรรมสำคัญอย่าง The Border Consortium (TBC) และ International Rescue Committee (IRC) ได้ออกมาแจ้งเตือนว่าพวกเขาจะยุติโครงการอาหารและบริการทางการแพทย์ในค่ายผู้ลี้ภัยหลังวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริจาคหลัก นอกจากนี้การตัดงบประมาณนี้ยังเป็นผลมาจากนโยบายการลดความช่วยเหลือระหว่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ขาดแคลนงบประมาณในบัญชีสนับสนุนผู้ลี้ภัยที่สำคัญ เช่น บัญชีช่วยเหลือผู้โยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัย และบัญชีช่วยเหลือภัยพิบัติระหว่างประเทศ

แนวทางรับมือของคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งรัฐฯ ได้เร่งหารือและวางแนวทางเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดผลกระทบและหาทางออกที่ยั่งยืน:

1.เตรียมรับมือก่อนถึงเดดไลน์: เตรียมประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางมาตรการเปลี่ยนผ่านและแผนรองรับวิกฤตงบตัดก่อนวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ซึ่งเป็นเส้นตายการตัดงบประมาณโดยเบื้องต้น มีข้อเสนอแนะการทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานรัฐเพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินการสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และคณะกรรมมาธิการพร้อมให้ความร่วมมือและข้อมูลที่มีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์

2.ผลักดันแนวคิด “พึ่งพาตนเอง”: สนับสนุนให้ผู้ลี้ภัยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยลดภาระของรัฐบาลไทย และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้พวกเขาสามารถเป็นแรงงานในจุดที่ขาดแคลนได้พร้อมทั้งการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรบุคคล (ฝึกอาชีพ, ส่งเสริมการศึกษาด้านภาษา ฯลฯ) เพื่อให้เกิดความพร้อมสำหรับอนาคต ในกรณีที่ผู้หลบภัยสงครามต้องการโยกย้ายถิ่นฐานไปประเทศที่สามหรือสมัครใจกลับมาตุภูมิ

3.ป้องกันความขัดแย้งในท้องถิ่น: ส่งเสริมให้เกิดการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจในประเด็นมนุษยธรรม และโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไทยจะได้รับ มุ่งเน้นการลดอคติที่มีต่อเชื้อชาติ วางระบบการจัดการที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในประเด็นการแย่งอาชีพต่อคนไทย ความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างโดยเฉพาะในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัย

4.เน้นจัดการอย่างมีระบบ: สร้างระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์ระยะยาวต่อทั้งผู้ลี้ภัยและประเทศไทยทั้งในมิติการจ้างงาน การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การจัดการฐานข้อมูลของหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมร่วมกันเพื่อการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในการรับมือกับวิกฤตนี้ ไทยอาจต้องยอมรับความจริงว่าอาจต้องรับผิดชอบปัญหานี้ในระยะยาว และ “การจัดการอย่างเป็นระบบ” คือกุญแจสำคัญ

ทางคณะกรรมาธิการมีกำหนดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ เพื่อสนับสนุนข้อมูลและข้อเสนอจากทางภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมให้เกิดแผนรองรับวิกฤตงบตัดก่อนที่จะสายเกินไป สถานการณ์นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลไทยจะต้องเข้ามามีบทบาทนำในการบริหารจัดการความช่วยเหลือผู้ลี้ภัย และหาแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลี้ภัยจะได้รับการดูแลขั้นพื้นฐาน และป้องกันไม่ให้วิกฤตมนุษยธรรมนี้ขยายวงกว้างไปมากกว่าเดิม ประเทศไทยต้องเผชิญความจริงว่าเราอาจต้องรับผิดชอบปัญหานี้ในระยะยาวและ “การจัดการอย่างเป็นระบบ”

การสำรวจฐานข้อมูลประชากรของหน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคมยังไม่ตรงกันหลายส่วน ซึ่งส่งผลต่อการสำรวจกลุ่มประชากรเปราะบาง ที่จำเป็นต้องเข้าถึงความช่วยเหลือทั้งในด้านการบริการสาธารณะสุข อาหาร เป็นเรื่องเร่งด่วนในกรณีที่ไม่สามารถจัดหางบประมาณมาทดแทนได้ทัน 31 กรกฎาคม

กระบวนการเรียนการสอนภาษาไทยในค่ายผู้ลี้ภัย ยังประสบกับขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ ที่ทำให้ผู้ลี้ภัยยังเข้าไม่ถึงบริการทางการศึกษา เช่น ข้อกังวลต่อกระทรวงศึกษาฯ ต่อความปลอดภัยของบุคคลากรในกรณีที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ใกล้กับพื้นที่สู้รบ, งบประมาณที่ขาดแคลน กรณีดังกล่าวส่งผลต่อการแก้ปัญหาในระยะยาวทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อลดการพึ่งพิงจากรัฐไทย หรือการเตรียมความพร้อมเพื่อส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

กระบวนการออกเอกสารผ่านแดนติดเงื่อนไขที่ต้องผูกพันกับหลายหน่วยงานมากเกินไป เช่น มหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้ไทยเสียโอกาสที่จะส่งต่อผู้ลึ้ภัยไปยังประเทศที่สาม เช่น ญี่ปุ่น เนื่องจากติดปัญหาการจัดการเอกสารในหลายกรณี

โอกาสทางเศรษฐกิจที่ไทยจะได้รับในการจัดการที่ดีกับผู้หลบภัยสงคราม ในวิกฤตเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานทั้งในภาคการเกษตร การก่อสร้างในภูมิภาคทางตะวันออกของไทย การสนับสนุนและพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มาจากค่ายผู้ลี้ภัยจะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลี้ภัยหลังการรัฐประหารในเมียนมาเป็นกลุ่มคนที่มีทักษะอยู่แล้ว อีกทั้งในภาวะที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกลุ่มผู้หลบภัยเหล่านี้อาจเป็นโอกาสที่ส่งเสริมทางเศรษฐกิจของรัฐไทย ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี มีการสื่อสารสาธารณะที่มุ่งเน้นการลดความอคติทางเชื้อชาติ ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลก

Related Posts

Send this to a friend