‘ภูมิใจไทย’ ไม่ติด หากใช้ร่างประชามติคนอื่น เหตุทุกร่างมีหลักการเดียวกัน
‘ภูมิใจไทย’ ไม่ติด หากใช้ร่างประชามติคนอื่น เหตุทุกร่างมีหลักการเดียวกัน คือมุ่งแก้รัฐธรรมนูญ ย้ำจุดยืนยึดหลัก 2 ชั้น
วันนี้ (18 มิ.ย. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ มีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ…. โดยมีผู้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว รวม 4 ฉบับ คือ ฉบับของคณะรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคภูมิใจไทย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ นายภราดร ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เป็นตัวแทนเสนอร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ว่า หลักการและเหตุผลที่ได้นำเสนอต่อสภา ในตัวหลักการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 คือ
1.กำหนดให้มีการออกเสียงเพื่อให้มีข้อยุติและออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก้คณะรัฐมนตรีเพิ่มมาตรา 9/1
2.กำหนดให้หากมีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการทั่วไป หรือหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่นแล้วแต่กรณี ให้กำหนดวันออกเสียงเป็นวันเดียวกัน แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 10 วรรค 1 และมาตรา 11 วรรค 3
3.กำหนดคะแนนการออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติ และคะแนนการออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีแก้ไขมาตรา 13
4.กำหนดการจัดทำ และการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีการออกเสียงแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 14 วรรค 3 เหตุผลโดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 กำหนดให้มีการออกเสียงตาม มาตรา 9 ต้องถือว่ามีข้อยุติ และต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และมีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงในเรื่องที่จะทำประชามติ ซึ่งการกำหนดให้การออกเสียงทุกประเภทต้องถือว่ามีข้อยุติ และการกำหนดคะแนนการออกเสียงดังกล่าวมีจำนวนมากเกินไป จึงยากที่จะได้ข้อยุติในเรื่องที่จะมีการจัดทำประชามติ ทำให้การออกเสียงประชามติอาจไม่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับการจัดให้มีการออกเสียงประชามติแต่ละเรื่องแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
ดังนั้น จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ประชามติ พ.ศ.2564 โดยกำหนดให้การออกเสียงตามมาตรา 9 มีทั้งกรณีที่มีการออกเสียง เพื่อมีข้อยุติ หรือบางกรณีควรกำหนดให้มีการออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี ตามที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนด และกำหนดคะแนนการออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติ และการออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีมีคะแนนการออกเสียงที่แตกต่างกัน รวมทั้งกำหนดกรณีหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการทั่วไปหรือหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่นแล้ว แต่กรณีให้กำหนดวันออกเสียงเป็นวันเดียวกัน นอกจากนี้ควรกำหนดให้มีการจัดทำและการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีการออกเสียงต้องให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีการออกเสียง และดำเนินการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะจัดทำประชามติแก่ประชาชนได้รับทราบอย่างเพียงพอ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
นายภราดร กล่าวต่อว่า เหตุผลในการเสนอร่างนี้ขึ้นมา มีรายละเอียดในบางประเด็นบางเรื่องที่แตกต่างจากอีก 3 ร่างที่เหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแก้ไขในเรื่องของมาตรา 13 ในเรื่องของการชี้ขาดหรือเรื่องของการหาข้อยุติ ตนเชื่อว่าวัตถุประสงค์หลัก ของทุกพรรคการเมืองและทุกร่างเหมือนกันและเห็นถึงข้อจำกัดของกฎหมายประชามติฉบับ พ.ศ. 2564 เหมือนกันนั่นคือการกำหนดมาตรา 13 การหาข้อยุติหรือการหาข้อชี้ขาด กฎหมายกำหนดให้ มีการทำ Double Majority เกณฑ์แรกจะต้องมีประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดออกมาใช้สิทธิ์ในขั้นที่ 2 จะต้องผ่านเกณฑ์คือจะต้องมีผู้เห็นชอบมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ด้วย นี่คือล็อคที่ยากมากในการที่จะทำให้การทำประชามติเป็นผลสัมฤทธิ์ในทางใดทางหนึ่ง หรือมีผลสัมฤทธิ์เป็นไปในทิศทาง บวกกับการทำประชามติในครั้งนั้นเพราะการหาผู้ที่มีความสนใจในประเด็นนั้น ๆ เพื่อที่จะออกมาประชามติเพื่อที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นนั้น ๆ ต้องผ่านเกณฑ์ถึง 2 ชั้นเป็นเรื่องยาก และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติสามารถที่จะไม่ออกไปใช้สิทธิ์เพื่อทำให้การทำประชามติครั้งนั้นล้มเหลวได้ เราเชื่อว่าทุกคนและทุกภาคการเมืองเห็นพ้องต้องกัน จึงมีวัตถุประสงค์ในการที่จะเสนอร่างนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ไขกฎหมายประชามตินี้
พรรคภูมิใจไทยในมาตรา 13 เห็นต่างทั้ง 3 ร่าง เล็กน้อย เราเห็นว่าควรที่จะต้องมีเกณฑ์แรกคือเสียงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศมาแสดงความคิดเห็นเพื่อที่จะเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ของประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เฉพาะรัฐธรรมนูญส่วนประเด็นอื่นที่ทางรัฐบาลหรือสภา และประชาชนจะขอให้มีการทำประชามติก็ใช้เพียงเสียงข้างมากเท่านั้น
นายภราดร เข้าใจว่า การที่จะให้คนถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นั่นคือ 26 ล้านเสียงออกมาใช้สิทธิ์ในวันทำประชามติเป็นเรื่องยากมาก จึงไม่ขัดข้องถ้าหากในชั้นกรรมาธิการมีการไปปลดล็อค หรือมีการลดเกณฑ์ ในการที่จะให้ผ่านในชั้นแรกลดลงจากกึ่งหนึ่งเหลือ 1 ใน 3 หรือมีเกณฑ์อย่างอื่น ที่เป็นตัวเลขที่เหมาะสมพอสมควร และไม่ขัดข้องที่ในชั้นกรรมธิการเช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หลักในการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ก็เพื่อให้การทำประชามติ สามารถบรรลุผลในบั้นปลายได้ง่ายมากขึ้น มากกว่าการทำประชามติตามกฎหมายประชามติฉบับที่เราใช้กันอยู่
ส่วนในเรื่องของวันที่จะมีการใช้สิทธิ์เสนอเช่นเดียวกันให้มี การไปใช้สิทธิในวัน ที่มีการเลือกตั้งสส. หรือการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถใช้วันเดียวกันได้เพื่อที่จะประหยัดงบประมาณต่อไป












