‘ธนกร’ มอง รทสช.ควรรีแบรนด์ให้ทันโลกยุคใหม่ เชื่อ ดีลตั้งรัฐบาลก้าวไกลไม่สะดุด
’ธนกร’ มอง รทสช.ควรรีแบรนด์ ให้ทันโลกยุคใหม่ เชื่อ ดีลตั้งรัฐบาลก้าวไกลไม่สะดุด หลังสะพัด พล.อ.ประยุทธ์ - พล.อ.ประวิตร เตรียมอำลาการเมือง ก่อนคุยว่าที่ ส.ส.ใหม่กำหนดทิศทางพรรค 22 พ.ค.นี้
วันนี้ (18 พ.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงทิศทางการทำงานของพรรคในอนาคตว่า จากที่ตนได้พูดคุยกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เราต้องถอดบทเรียนในการทำการเมืองว่าวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แม้คะแนนเสียง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสูงกว่า 5 ล้านเสียงและสูงกว่าหลายพรรค แต่ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งจะต้องปรับเปลี่ยนบ้าง เนื่องจากตอนนี้เป็นโลกของคนรุ่นใหม่ ฉะนั้นการหาเสียงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยใช้เรื่องดิจิทัล และใช้คนรุ่นใหม่ของพรรคให้มากขึ้น ซึ่งจะต้องปรับยุทธศาสตร์ของพรรคให้สมดุลกับคนทุกรุ่นให้ไปด้วยกันได้ พร้อมมั่นใจว่าพรรครทสช.จะไปต่อได้ในอนาคต แต่ต้องมีการรีแบรนด์พรรค และใช้ความสามารถของคนทุกรุ่นมาผสมผสานกัน
ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายเอกนัฏ จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายธนกรกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของอนาคต แต่จากที่ตนมอง นายเอกนัฏเป็นคนที่มีรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนเอง ตนเองแค่เสนอความเห็นว่าพรรคต้องมีการปรับ แต่พอเทรนด์มันเกิดในสถานการณ์การเลือกตั้งเราก็ต้องปรับตัวให้ทันกับโลกยุคใหม่ให้ได้
ส่วนจะมีการพูดคุยกับว่าที่ ส.ส.ของพรรคเมื่อใดนั้น นายธนกร กล่าวว่าเท่าที่ทราบวันจันทร์ที่ 22 พ.ค.นี้เวลา 16.00 น.ก็จะมีการประชุม ส.ส.ทั้ง 36 คน ณ ที่ทำการพรรค
ส่วนได้มีการหารือนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แกนนำพรรคแล้วหรือไม่ นายธนกรกล่าวว่าจากที่ได้พูดคุยกับนายสุชาติ ก็ผิดหวังอยู่บ้าง เพราะนายสุชาติตั้งใจทำการเมืองมาก และอยากให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะเราทั้งสองคนมากับพลเอกประยุทธ์ รวมถึง ส.สในพื้นที่ภาคใต้ของตนเองก็ไม่เข้าเป้า ได้มาเพียง 14 ที่นั่ง แต่ถึงอย่างไรก็พอใจ ไม่ได้มีอะไร และขณะนี้ก็ยังพูดคุยกับนายสุชาติอยู่ตลอด
เมื่อถามว่าสาเหตุที่ทำให้จำนวน ส.สของพรรคไม่เข้าเป้า ส่วนหนึ่งมาจากการแยกพรรคของรวมไทยสร้างชาติกับพลังประชารัฐใช่หรือไม่ เนื่องจาก หากนำคะแนนในพื้นที่มาบวกรวมกัน จะได้มากกว่าผู้ชนะในหลายพื้นที่ นายธนกรกล่าวว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งแต่ยังคงมีอีกหลายองค์ประกอบ ประเด็นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง พร้อมย้ำว่า หลายสิ่งหลายอย่างต้องปรับปรุง และปรับตัว
วันนี้เห็นพรรคว่าที่รัฐบาลประกาศตั้งรัฐบาลได้ ผมก็ยินดีด้วย จะได้เข้าไปบริหารตามนโยบายของท่าน แต่อย่างที่เคยบอกฝากไปยังพรรคก้าวไกล พร้อมกับอยากให้ลูกพรรคก้าวไกลหลายคนหยุดพฤติกรรม ควรมีวุฒิภาวะให้มากกว่านี้ ไม่ควรไปกดดัน ส.ว. จากทาง Social Media หรือโพสต์ข้อความข่มขู่ ซึ่งควรหยุดพฤติกรรมแบบนี้ได้แล้ว เพราะท่านต้องไปขอเสียงจากเขา แต่วันนี้ก็ยังมีลักษณะแบบนี้อยู่
ดังนั้นจึงเชื่อว่าหากวันนี้ต้องการเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ก็ควรไปเจรจากับเขาได้เห็นด้วยผล หรือไปพูดดีๆ เพราะผมคิดว่า ส.ว.ทุกคนเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะ ท่านต้องมององค์ประกอบหลายอย่าง คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แตกหากยังใช้พฤติกรรมกดดัน ส.ว.เขาก็ไม่ฟังใครอยู่แล้ว เขามีเอกสิทธิ์ของเขา พร้อมเปรียบว่าผมจะโหวตให้ท่านแล้วท่านด่าผมทุกวัน แล้วผมจะโหวตให้ทำไม พร้อมย้ำว่าต้องพูดคุยกันดีดี และในส่วนของตนเองก็พร้อมจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาลอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าได้ติดตามข่าวการแถลงร่วม 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลแล้วหรือไม่ นายธนกรกล่าวว่า ตนไม่ได้ติดตามการแถลงข่าว แต่ทราบว่าสามารถจัดตั้งได้แล้ว ส่วนที่เขารวมเสียงได้ 313 เสียง และมั่นใจว่าสามารถตั้งรัฐบาลได้นั้น ก็ท่านมั่นใจ แต่ผมบอกว่า ความมั่นใจของท่านก็ต้องไปบอกลูกทีม ว่าควรที่จะหยุดพฤติกรรมกดดันหรือใช้วาจาข่มขู่ ส.ว.เพราะทุกคนในประเทศก็หวังดีกันทั้งนั้น แต่ถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ ก็ไม่มีใครสนใจใคร พร้อมยังว่าตนเองไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว แต่ ในเรื่องของการแก้ไขมาตรา 112 นั้น “ไม่เห็นด้วย” และจะให้ไปยกมือให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงไม่ทำ เพราะการหาเสียงของตนเองและพรรครวมไทยสร้างชาติยืนยันมาโดยตลอดว่าจะไม่มีการแก้ไขมาตรา 112
เมื่อถามถึงกระแสวงเจรจาจัดตั้งรัฐบาลวานนี้ (17 พ.ค. 66) ในเนื้อหาสัตยาบันไม่มีระบุเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 นายธนกรกล่าวว่า ตนเองเห็นว่ามันยังไม่ได้ตกผลึก แต่บางพรรคการเมืองก็ไปไกลในเรื่องของนโยบายอยู่แล้ว ฉะนั้นอยากให้พรรคร่วมรัฐบาลเห็นแก่บ้านเมืองเยอะๆ ซึ่งตนจะเอาใจช่วย
เมื่อถามว่าพลเอกประยุทธ์ได้มีการปรารภถึงการจับขั้วรัฐบาลหรือไม่ นายธนกรกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่กล่าวว่า ขอให้พรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลไป ก็บอกว่าต้องไปตามรัฐธรรมนูญให้เขาตั้งไป พร้อมยืนยันว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้มีอะไรและอารมณ์ก็ยังดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร เข้าใจสังคมการเมืองอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนพลเอกประยุทธ์จะมีความหวังจะได้กลับมาอีกหรือไม่ นายธนกรปฏิเสธโดยระบุว่าเรื่องนี้ตนไม่สามารถตอบแทนพลเอกประยุทธ์ได้
เมื่อถามว่าหากการจับขั้วรัฐบาลไม่สามารถทำได้จะมีโอกาสที่พรรครัฐบาลเดิมจะจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายธนกรกล่าวว่า แต่ว่าก็มั่นใจว่า พรรคที่ได้ลำดับ 1 เขาก็น่าจะจัดตั้งได้อยู่แล้ว
ส่วนหลังจากนี้พลเอกประยุทธ์จะมีการแถลงถึงทิศทางทางการเมืองหรือไม่ นายธนกรกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้เปรย แต่พลเอกประยุทธ์ ให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พรรคทุกคน พร้อมย้ำว่า พลเอกประยุทธ์ยังไม่ได้มีการพูดอะไร ถึงเรื่องการวางมือทางการเมือง ซึ่งตนไม่ขอก้าวล่วง ก็แล้วแต่ว่าท่านจะทำอะไรต่อไป แต่พวกเราพร้อมที่จะสนับสนุน และจะยืนเคียงข้างพลเอกประยุทธ์อยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำถึงกระแสข่าว การวางมือทางการเมืองทั้งของพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายธนกร กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ และไม่กล้าไปก้าวล่วง