โฆษกกลาโหม เปิดหลักฐาน ‘กัมพูชา’ จงใจลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ประเทศไทย
โฆษกกลาโหม เปิดหลักฐาน ‘กัมพูชา’ จงใจลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ประเทศไทย ละเมิดข้อตกลงปฏิญญาร่วม ทำทหารเสียขา 7 นาย แฉถูกกัมพูชาขัดขวางเก็บกู้ 16 ครั้ง พร้อมโชว์เอกสารรายงานออตตาวา ยัน ไทยไม่มีทุ่นระเบิดครอบครองตั้งแต่ปี 2562 ย้ำชัด ปล่อยเชลยศึก ต้องหลัง หลังไร้ท่าทีปรปักษ์ ด้าน โฆษกกองทัพบก เปิดคลิปหลักฐานในโทรศัพท์ทหารกัมพูชาทำตกในพื้นที่ ตอกย้ำข้อพิสูจน์หลักฐานชัดเจน
วันนี้ (17 พ.ย. 68) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในการแถลงข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม โดยเปิดไทม์ไลน์ และภาพรวมของทหารไทยที่เหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ใกล้ชายแดนไทยกัมพูชา พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ทุ่นระเบิดที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ถึงปัจจุบัน มีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจำนวน 6 ราย ทำให้ขาขาด ซึ่งพื้นที่เกิดเหตุล้วนเป็นพื้นที่ที่อยู่ในอธิปไตยของไทยแทบทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่มีการตั้งข้อสงสัยตลอดเวลาว่า เหตุใดถึงมีทุ่นระเบิดอยู่ในพื้นที่ ทั้งที่ผ่านมามีชุดปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ดำเนินการในการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่มาโดยตลอด
สำหรับ 6 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่ทหารไทยที่ได้รับการบาดเจ็บจำนวน 16 ราย ในจำนวนนี้ 6 ราย คือผู้ที่ได้รับทุพพลภาพขาขาด แต่อีก 10 รายได้รับผลจากแรงกระแทกจากระเบิด ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จุดเกิดเหตุเป็นอาณาเขตของไทย บริเวณห้วยตามาเรีย ใกล้กับภูมะเขือ ส่งผลให้ทหารที่ลาดตระเวน ในเส้นทางที่ดำเนินการลาดตระเวณอยู่เป็นประจำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กำลังพลขาขาด 1 รายและบาดเจ็บอีก 3 ราย ทำให้ขณะนี้มีตัวเลขยอดเจ็บตั้งแต่ 16 กรกฎาคม จนถึง 10 พฤศจิกายน 2568 รวมทั้งหมด 20 ราย โดยในจำนวนนี้บาดเจ็บขาขาด 7 ราย และบาดเจ็บจากแรงกระแทก และสะเก็ดระเบิด 13 ราย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อว่า จากการพิสูจน์ทราบโดยชุดสำรวจพบว่า จุดระเบิดมีความกว้าง 55 เซนติเมตร โดยรอบยังพบทุ่นระเบิดอีก 3 ทุ่น ในสภาพที่พร้อมใช้ ซึ่งการวางทุ่นระเบิดจุดนี้ มีการวางเป็นกลุ่ม หากทหารที่เหยียบทุ่นระเบิดไปแล้ว แล้วมีอาการบาดเจ็บ มีโอกาสสูงที่จะล้ม ไปทับกับทุ่นระเบิดที่เหลืออีก อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเป้าหมายของการวางทุ่นระเบิดนี้คือ หมายจะเอาชีวิต ไม่ใช่แค่บาดเจ็บทุพพลภาพเท่านั้น
นอกจากนี้ ทุ่นระเบิดที่มีการวางไว้ จากการพิสูจน์ทราบเป็นทุ่นระเบิดใหม่ มีลักษณะมัน วาว และยังวางอยู่บริเวณพื้นผิว ไม่มีหญ้าปกคลุม แสดงให้เห็นว่า เป็นพื้นที่ที่มีการขุดใหม่ และมีการนำเศษใบไม้มากลบ
พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุอีกว่า ในอดีตไทยในฐานะเป็นภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ได้รายงานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้มีการรายงานถึงคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวาเมื่อ 30 เมษายน ที่ผ่านมาว่า ไทยไม่มีการเก็บสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใดๆ ตั้งแต่สิงหาคม 2562 และได้ทำลายไปหมดสิ้นแล้ว รวมทั้งการเก็บทุ่นระเบิดสำหรับการศึกษา หรือ วิจัย ก็ไม่มีอยู่ในการครอบครอง จึงชัดเจนว่ามีการพาดพิงว่า ไทยไปวางทุ่นระเบิดกันเองหรือไม่หรือมีครอบครองใช้ในการศึกษาหรือไม่ ซึ่งถ้าดูตามรายงานฉบับดังกล่าว ก็ชัดเจนว่าไทยไม่มีทุ่นระเบิดใดๆ ที่เป็นทูตระเบิดสังหารบุคคนที่อยู่ในการครอบครอง
ขณะที่ การปฏิบัติการของไทยที่ผ่านมาไทยมีการกวาดล้างทุ่นระเบิด จนประสบความสำเร็จแล้ว 99.5 % ยังเหลือในพื้นที่ที่ติดกับชายแดนไทย – กัมพูชา คิดเป็น 12.8 ตารางกิโลเมตร ใน 15 อำเภอ 6 จังหวัด 64 พื้นที่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว ถือเป็นพื้นที่เป้าหมายของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ที่ต้องการจะเก็บกู้ให้แล้วเสร็จ แต่ก็เกิดอุปสรรคในการเก็บกู้ โดยอุปสรรคสำคัญคือ การขัดขวางของฝ่ายกัมพูชาในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายไทย จำนวน 16 ครั้ง ประกอบด้วย สระแก้ว 8 ครั้ง ศรีสะเกษ 4 ครั้ง ตราด 2 ครั้ง และสุรินทร์ 2 ครั้ง
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อว่า อย่างของทุ่นระเบิดที่เคยเก็บกู้ได้ในอดีตจำนวน 1,500 ชิ้น ไม่เคยพบทุ่นระเบิด ชนิด PMN-2 ในพื้นที่การสู้รบสงครามที่ผ่านมา จึงสรุปได้ว่า การวางทุ่นระเบิด PMN- 2 ที่ผ่านมาน่า จะเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งใครที่สามารถวางระเบิดใหม่ได้ คงไม่ใช่ใครนอกจากกัมพูชา
พล.ร.ต.สุรสันต์ ย้ำว่า หลักฐานนั้นค่อนข้างชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดปฏิญญาร่วม ซึ่งมีการลงนามระหว่างนายกรัฐมนตรี ทั้ง 2 ประเทศ โดยมีการละเมิดการปฏิบัติตามผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ซึ่งระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายไม่กระทำการยั่วยุที่อาจทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น
อีกทั้ง การปฏิบัติทางทหารเข้าไปในพื้นที่ห้วงอากาศ หรือ ดินแดนหรือ ตำแหน่งของอีกฝ่ายหนึ่ง และยังละเมิดการปฏิบัติผลของการประชุม GBC วาระพิเศษเมื่อ 10 กันยายน ซึ่งมีเงื่อนไขชัดเจนว่า จะไม่มีการขยายขอบเขต และระดับความขัดแย้งหรือการกระทำวิทยุที่อาจทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น เปิดให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งของตน ณ วัน ประกาศหยุดยิงวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เวลา 24:00 น. แต่ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏทางฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลง และมีการแอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดหวังสังหารบุคคล
ส่วนปฏิญาณหลัก ก็มีการเขียนไว้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง วิธีเขตแดนด้วยวิธีสันติ และตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการเป็นการเป็นภัยคุกคาม หรือการใช้กำลัง หรือการดำเนินการยั่วยุใดๆ แต่ข้อนี้นั้นชัดเจนว่าวิธีสันติหรือสันติวิธี ทางกัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติ และมีการใช้อาวุธเข้ามาแทรกซึมด้วย รวมทั้งแสดงตนอย่างชัดเจนว่าเป็นภัยคุกคาม
ทั้งนี้ เมื่อกัมพูชาละเมิดปฏิญาร่วม ไทยจึงต้องระงับการปฏิบัติที่ได้ตกลงไว้ในปฏิญญาร่วม โดยการระงับปฏิบัติตามแผนใน Action Plan ในการถอนอาวุธหนัก ต้องชะลอและหยุดไปก่อน แต่จะยังดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทย ซึ่งอยู่ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชาจำนวน 13 พื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่เร่งด่วน ตามที่ได้มีการเสนอในที่ประชุม GBC วาระพิเศษครั้งที่ 2 เมื่อ 23 ตุลาคม 2568
โดยแบ่งเป็น 1. พื้นที่ของกองกำลังบูรพา 3 พื้นที่ เช่น บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านหนองจาน บ้านเนินสมบูรณ์ จ.สระแก้ว 2. พื้นที่กองกำลังสุรนารี 6 พื้นที่ เช่น ช่องบก ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านสายโท 10 ใต้ จ.บุรีรัมย์ ช่องกลาง ช่องเหว ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ 3. พื้นที่กองบัญชาการป้องกันชาย แดนจันทบุรีและตราด เช่น หมู่บ้านตะกาง หมู่บ้านคลองม่วง หมู่บ้านโขดทราย จ.ตราด
พล.ร.ต.สุรสันต์ ยังย้ำว่า กองทัพไทยยืนยันความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ส่วนการปล่อยเชลยศึกจะเป็นเรื่องสุดท้ายเมื่อกัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ โดยข้อบ่งชี้ต้องดูจากความจริงใจ และความรับผิดชอบของกัมพูชาในการดำเนินการ จนฝ่ายไทยพอใจแล้วว่า กัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์แล้วค่อยมาเจรจาเรื่องการปล่อยเชลยศึกอย่างไรก็ตามแม้ไทยจะชะลอเรื่แผนการถอนอาวุธหนัก แต่ยังคงการเก็บกู้และกวาดล้างทุ่นระเบิด โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการใน 5 พื้นที่นำร่อง
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวด้วยว่า หากไม่เกิดเหตุการณ์เมื่อ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ไทยนั้นมีการดำเนินการตาม Action Plan โดยมีการประชุมของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย หรือ AOT ได้มีการร่วมหารือแผนงานในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่เมื่อมีเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้การพูดคุยหยุดชะงักลง แต่มีการดำเนินการในพื้นที่ฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้สนใจว่าฝ่ายกัมพูชาจะดำเนินการหรือไม่
ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยังได้พาสื่อมวลชนไปดูหลักฐานที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา ที่ฝ่ายไทยสามารถเก็บไว้ได้ โดยภายในโทรศัพท์มือถือมีหลักฐานที่ทหารกัมพูชามีการลักลอบใช้ทุ่นระเบิด พร้อมกล่าวว่า ในโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ได้มีแต่คลิปที่นำเสนอไปเพียงเท่านั้น ซึ่งยังมีคลิปอื่นรวมอยู่ด้วย โดยส่วนใหญ่ตัวตนของเจ้าของเครื่องหรือบุคคลรอบข้างก็จะอยู่ในทุกคลิป ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะไปปรุงเสริมเติมแต่งได้ยาก และมีความเป็นธรรมชาติของการเป็นโทรศัพท์มือถือของคนที่เป็นทหาร
อีกทั้ง ยังมีการเปิดคลิปหลักฐานที่ทหารกัมพูชา มีการเคลื่อนย้ายจุดวางทุ่นระเบิด บริเวณช่องตาเฒ่า บริเวณเชิงเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดย พล.ต.วินธัย ระบุว่า ไม่ใช่การเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อหลักมนุษยธรรม แต่เป็นการเก็บเพื่อไปทำลายอีกจุดมากกว่า ซึ่งเป็นภาพที่ธรรมชาติไม่สามารถให้ใครไปแสดงได้ รวมถึงกำลังพลที่อยู่ในภาพ ก็เป็นกำลังพลจริง และมีตัวตนจริงๆ ของกัมพูชา จึงเป็นเครื่องยืนยัน และเป็นหลักฐานที่ถือว่าฝ่ายไทยมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน












