POLITICS

แถลงผลสอบ เหตุยิงเยาวชน 2 ราย อายุ 14 และ 15 ปี บริเวณ สน.ดินแดง

วันนี้ (17 ก.ย.) เวลา 10:30 น. ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา ​คณะทำงานศึกษากรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมทางการเมือง คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงเปิดรายงานและหลักฐานการติดตามค้นหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเหตุยิงเยาวชนบาดเจ็บ 2 ราย

พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส. พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะทำงานฯ นำเสนอรายงานการศึกษาการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 สิงหาคม ซึ่งมีเยาวชนถูกกระสุนปืนจริง จำนวน 2 ราย

ข้อมูลของเยาวชนรายแรก อายุ 14 ปี พ.ต.ต.ชวลิต แถลงว่า “เด็กชายธนพล อายุ 14 ปี ถูกอาวุธปืนจริง ยิงเข้าหัวไหล่ขวาทะลุหลัง บริเวณปากซอยประชาสงเคราะห์ 14 ปัจจุบันปลอดภัยแล้ว กลับไปรักษาตัวที่บ้าน เริ่มแรกคณะทำงานยังไม่ทราบข้อเท็จจริงมาก จึงทำการสัมภาษณ์เด็กชายธนพล และผู้ปกครอง ได้ข้อมูลว่าเด็กชายธนพลไม่ได้มาร่วมชุมนุม แต่ขับรถจักรยานยนต์มารับรุ่นพี่ เมื่อมาถึงที่เกิดขึ้น ถูกกลุ่มบุคคลซึ่งไม่ได้สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำร้ายทุบตีด้วยความรุนแรง จึงวิ่งหนีไปทางถนนประชาสงเคราะห์ เมื่อไม่ทราบบุคคลผู้ก่อเหตุ คณะทำงานจึงให้น้ำหนักกับพยานหลักฐาน พบว่าปากซอยประชาสงเคราะห์ 14 มีกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานครอยู่ จากการตรวจสอบไฟล์กล้องวงจรปิดพบว่า คนที่ก่อเหตุออกมาจากซอยประชาสงเคราะห์ 14 มาจอดที่ปากซอย จังหวะที่เด็กชายธนพลได้วิ่งออกไปทางถนนประชาสงเคราะห์ พบว่าบุคคลผู้ก่อเหตุได้ยิงออกมา คณะทำงานจึงลงความเห็นว่าเด็กชายถูกยิงและทำร้ายจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้แน่นอน และพวกเขาทำลายทรัพย์สิน รถจักรยานยนต์ของประชาชนอีกหลายคน การกระทำนี้เกิดขึ้นบนท้องถนนย่านชุมชนหนาแน่นกว่า 8 นาที ชี้ว่าพวกเขาไม่เพียงไม่มีความยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่ยังเชื่อว่าผู้รักษากฎหมายไม่สามารถเอาผิดพวกเขาได้ จึงเที่ยวคุกคามคนอื่นตามอำเภอใจอย่างที่เราเห็นได้”

ส่วนรายที่สอง อายุ 15 ปี พ.ต.ต.ชวลิต แถลงว่า “เด็กชายวาฤทธิ์ อายุ 15 ปี ถูกอาวุธปืนจริง เข้าที่ลำคอด้านซ้าย กระสุนฝังเข้าใกล้แกนสมอง อยู่ในอาการโคม่า แพทย์ยังไม่ผ่าตัดออกมา เหตุการณ์ของเด็กชายวาฤทธิ์เกิดขึ้นที่ถนนมิตรไมตรี บริเวณด้านหน้า สน.ดินแดง คณะทำงานพบร่องรอยวัตถุพยานหลายอย่างที่สอดคล้องสัมพันธ์กัน หลักฐานจากกล้องวงจรปิดกรุงเทพมหานครจำนวน 54 ตัว พบว่า

  • เวลา 19:10 น. เจ้าหน้าที่นำแผงเหล็กปิดกั้น หน้า สน.ดินแดง ไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปได้
  • เวลา 20:00 น. ตลอดถนนมิตรไมตรี มีผู้ชุมนุมขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา ยิงหนังสติ๊ก ขว้างปาประทัดสิ่งของด้านหน้า สน.ดินแดง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแนวเคลื่อนพลเข้ามาจากถนนวิภาวดีรังสิต
  • เวลา 20:30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนเคลื่อนเข้ามาหน้า สน.ดินแดง
  • เวลา 20:39 น. พบ ผู้ชุมนุมจุดไฟเผาถังพลาสติกหน้า สน.ดินแดง
  • เวลา 20:44 น. เวลาเกิดเหตุ พบเด็กชายวาฤทธิ์ ล้มลงกับพื้น

หลังจากนั้น พบว่ากระสุนปืนเจาะเป็นรูกระสุนที่กำแพงศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แห่งที่ 2 รอยกระสุนไม่ได้บิ่นเข้าด้านใดด้านหนึ่งเท่ากับเป็นทิศทางตั้งฉากตรงเข้ามา เทียบกับรอยโลหิตแล้วสามารถบ่งชี้จุดก่อเหตุได้ว่ามาจากด้านหน้า สน.ดินแดง นอกจากนี้ยังพบหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากแฟลตดินแดง มีเสียงปืน 15 นัด แยกได้ 2 ลักษณะเสียง คือมีอาวุธปืน 2 กระบอกขึ้นไป กลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อได้ยินเสียงปืนจังหวะเดียวกันกับที่เด็กชายวาฤทธิ์ล้มลง จึงวิ่งหนีออกจากพื้นที่ ต่างจากจังหวะอื่นในคืนวันนั้นที่ไม่มีท่าทีตกใจ คณะทำงานจึงสรุปเช่นเดียวกันกับรายแรกคือ กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่เกรงกลัวกฎหมาย และไม่คิดว่าผู้รักษากฎหมายจะเอาผิดเขาได้”

พ.ต.ต.ชวลิต เผยความเห็นคณะทำงานที่ตั้งสมมติฐานความเชื่อมโยงระหว่างสองเหตุการณ์ว่า “ทุกท่านอาจมีความสงสัยเหมือนกับผมหรือเปล่าว่า เหตุการณ์ทั้งสองสัมพันธ์กัน กลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งสองใช้อาวุธปืนยิงหลายนัดในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณอื่นพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรายแรกนับรวมกัน 12 คน ใช้รถจักรยานยนต์จำนวน 6 คันออกจากพื้นที่จุดแรกเวลา 20:42 น. สามารถติดตามถึงบ้านที่อยู่อาศัยได้ ใช้ถนนประชาสงเคราะห์มุ่งหน้าห้วยขวาง เลี้ยวเข้าซอยประชาสงเคราะห์ 21 ทะลุไปหลัง สน.ดินแดง เวลา 20:44 น. จึงเป็นเวลาที่ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดบนถนนที่เชื่อมกันนี้บันทึกไว้ได้ว่าไล่เลี่ยกัน ตลอดจนลักษณะการก่อเหตุทั้งสองเหตุก็คล้ายกัน และการแต่งกายทั้งเสื้อและกระเป๋าสะพายเฉียงแบบเดียวกันของผู้ก่อเหตุที่บันทึกภาพได้ในกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร คณะทำงานจึงเชื่อว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเชื่อมโยงกัน”

“ทำไมผ่านไป 1 เดือนไม่มีความคืบหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราจึงตรวจสอบคลิปถ่ายทอดสดของสำนักข่าวต่าง ๆ ในคืนเกิดเหตุ สิ่งที่เราเจอและน่าตกใจมาก และคิดว่าคนไทยทุกคนควรจะรู้ คือเมื่อตำรวจ คฝ. เคลื่อนมาจากแยกโรงกรองน้ำ มาที่ สน.ดินแดง หลังจากปิดไฟอยู่ก็เปิดไฟ แล้วมีกลุ่มชายฉกรรจ์อยู่ภายในรั้ว สน.ดินแดง ทั้งที่ด้านหน้าปิดกั้นรั้วอยู่ หาก ผกก.สน.ดินแดง ยืนยันว่ามีตำรวเท่านั้น ต้องถามว่ากลุ่มชายฉกรรจ์หน้า สน.ดินแดง เป็นตำรวจอย่างนั้นหรือ หากจะบอกว่าคนในรั้ว สน.ดินแดง เป็นตำรวจ” พ.ต.ต.ชวลิต ตั้งข้อสังเกต

ก่อนจบการแถลงผลสอบ พ.ต.ต.ชวลิต ทิ้งท้ายว่า “ทางคณะทำงานยังไม่สรุปว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งสองเหตุเป็นกลุ่มคนเดียวกันหรือไม่ ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรง เข้าถึงข้อมูลหลักฐานตรงนี้มากกว่าได้ ให้ช่วยชี้แจงว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นใคร ประชาชนคงไม่คาดหวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพูดเพียงไม่ใช่ ไม่เกี่ยวข้อง ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาชี้แจงว่ากลุ่มคนเหล่านี้มาจากไหน เกี่ยวข้องกับ สน.ดินแดงหรือไม่ ตลอดจนตามจับคนร้ายได้ ไม่ให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย อย่าให้ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคมไปมากกว่านี้”

ด้านนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ชัดเจนว่าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เราคาดว่า ทั้งสองเหตุการณ์ผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกัน ระยะเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ไม่เหลือความชอบธรรมแล้วว่าเหตุการณ์เหล่านี้อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของท่านได้ ฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อจำกัด แต่สังคมตั้งคำถามถึงเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่อยู่ในพื้นที่วันนั้น แล้วไม่มีคำตอบให้พี่น้องประชาชน ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้พี่น้องประชาชน หลักฐานคลิปวิดีโอและกล้องวงจรปิดกว่า 54 จุดที่คณะทำงานได้ไปสืบหามาจะถูกส่งไปให้ครอบครัวผู้บาดเจ็บใช้ในการดำเนินคดี รวบรวมข้อสงสัยถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสื่อมวลชนต่อไป เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงให้พี่น้องประชาชนรับทราบ คณะทำงานเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ ความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นจะยังถูกติดตามและสืบหาข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ต่อไป”

นอกจาก กมธ. ยังมีญาติผู้เสียหายร่วมแถลงด้วย ด้านบิดาของเด็กชายธนพล อายุ 14 ปี ที่กลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้ว กล่าวว่า “ฝากให้ตำรวจดำเนินคดีให้เร็วที่สุด เนื่องจากผ่านมาเดือนนึงแล้ว ที่เห็นพยานหลักฐานวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็น่าจะทำงานได้เร็วขึ้น”

ส่วนมารดาเด็กชายวาฤทธิ์ อายุ 15 ปี ซึ่งรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เปิดเผยว่า “แม่เพิ่งเห็นคลิปครั้งแรก ฝากสื่อมวลชนติดตามความคืบหน้าของคดี น้องอยู่โรงพยาบาลมาหนึ่งเดือนแล้ว แม่ยังไม่ได้รับความคืบหน้าของคดีเลย ไม่อยากให้เรื่องเงียบอย่างที่ผ่านมา แม่คิดว่าเรื่องนี้สะเทือนใจกับครอบครัวของน้อง หากตำรวจพยายามหาข้อมูลพยานหลักฐาน วันนี้ก็เห็นว่ามีมากพอสมควรจะทำให้คดีกระจ่างได้โดยเร็ว ตอนนี้เสียงมันแตกมากเหลือเกินว่าเป็นคู่อริหรือเจ้าหน้าที่ ควรทำคดีให้โดยเร็วเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นจำเลยของสังคม”

Related Posts

Send this to a friend