POLITICS

กมธ.ความมั่นคงฯ จ่อเรียก ‘แพทองธาร’ แจง ปมคลิปเสียงคุย ‘ฮุนเซน‘

กมธ.ความมั่นคงฯ จ่อเรียก ‘แพทองธาร’ แจง ปมคลิปเสียงคุย ‘ฮุนเซน‘ ชี้ เป็นจุดเปลี่ยนปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา จี้ รัฐบาลเร่งรับมือสถานการณ์ตึงเครียด–ดูแลประชาชนแนวชายแดน

วันนี้ (17 ก.ค. 68) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อม นางปทิดา ตันติรัตนานนท์ สส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะโฆษก กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ ฯ และคณะ แถลงข่าวถึงผลการประชุม กมธ. เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ในสัปดาห์หน้าการประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นฯ จะมีการติดตามอย่างต่อเนื่องในเรื่องของความขัดแย้งปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกรรมาธิการ เรามีมติเรียกบุคคลต่าง ๆ มาร่วมประชุม ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะเป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์ พล.ต.ต.ชัชชัย สุรเชษฐพงษ์ รองจเรตำรวจ ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประธาน กสทช. ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้แทนจากมูลนิธิอิมมานูเอล

รวมถึง กมธ.ความมั่นคง ยังมีมติเรียก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าชี้แจงในกรณีคลิปเสียงสนทนากับนายฮุนเซน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา ซึ่งเราพิจารณาแล้วเห็นว่าคลิปเสียงดังกล่าวไม่มีใครสามารถตอบคำถามแทนได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศที่มาชี้แจงก็พูดในทำนองว่าการกระทำของ นางสาวแพทองธาร ผิดโพรโทคอลของการพูดคุยที่ปกติแล้วกระทรวงการต่างประเทศจะต้องเป็นคนดูแล และการเรียกเข้ามาประชุมในครั้งนี้หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากจาก นางสาวแพทองธาร ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอาศัยตามมาตราที่ 6 คือคณะกมธ. ฯ มีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำ หรือในเรื่องพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงที่ศึกษาอยู่นั้นได้ ซึ่งเป็น พ.ร.บ.อำนาจเรียกของคณะกมธ.ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568

ด้าน นางนางปทิดา กล่าวว่า จากสถานการณ์บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควายจ.สุรินทร์ ที่มีการอัพเดทใหม่อยู่ตลอดเวลาซึ่ง เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 68 มีผู้หญิงฝั่งกัมพูชาได้มาต่อว่าทหารฝั่งประเทศไทยของเราทำให้เกิดความตื่นตระหนก และต้องมีการขอให้นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวปราสาทต้องย้ายออกไปทั้งหมด ซึ่งเป็นความตื่นตระหนกของพี่น้องในพื้นที่ และการสื่อสารออกไปคนที่รับข้อมูลก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จตนเองค่อนข้างที่จะเป็นห่วง

ต่อมาเป็นเรื่องของความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดนไม่ว่าจะเป็น จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ ตนเองมองเห็นตั้งแต่วันที่นางสาวแพทองธารได้ไปจังหวัดสุรินทร์เพื่อดูหลุมหลบภัย และได้มีการระบุว่า ให้จัดการ และให้มีความปลอดภัยมากขึ้น สำหรับงบประมาณกลางที่สามารถใช้ได้ง่าย และได้สะดวกอนุมัติไปทำหลุม หลบภัยให้กับโรงเรียน เพราะโรงเรียนในพื้นที่ชายแดนถือว่าถือว่า 80% ไม่มีหลุมหลบภัย แต่เราก็รอจนถึงวันนี้ ซึ่งก็ไม่มีการอนุมัติงบประมาณลงไปในพื้นที่ตามแนวชายแดนเลยซึ่งทุกวันนี้ที่ออกข่าวทุกอย่างเป็นการบริจาคการขอรับการสนับสนุน

นางปทิดา กล่าวอีกว่า วันนี้ในฐานะที่ตนเองเป็น สส.พื้นที่ชายแดนของ จ.สุรินทร์ จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความใส่ใจกับเรื่องความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้มากกว่านี้เพราะทุกวันนี้ประชาชนฟังข่าวแทนที่ท่านมีแนวความคิดอยากจะย้ายข้าราชการหรืออะไรหลายหลายอย่าง แต่เรามองว่าปัญหาที่พวกเราเจอมันน่าจะเป็นปัญหาใหญ่พอกับปัญหายาเสพติดที่นางสาวแพทองธาร เรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ค. 68)

”จึงอยากให้เล็งเห็นถึงความสำคัญชีวิตของประชาชนตามแนวชายแดน วันนี้เราอยู่บนความเสี่ยงการกระทบกระทั่งเล็กๆน้อยๆ อาจจะเจรจากันได้ แต่เราไม่ทราบว่าวันนี้การกระทบกระทั่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้หรือไม่“ นางปทิดา กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราอยากได้ความคืบหน้า และอยากได้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพราะก่อนหน้านี้เขาพูดถึงเรื่องเซลบรอดคลาสต์ การแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที ซึ่งการได้รับการเตือนอย่างเป็นทางการที่ไม่ใช่เป็นข่าวลือหรือเป็นลักษณะในการพูดกันปากต่อปาก ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญซึ่งเราอยู่ในยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีมากมายและสามารถใช้ประโยชน์ได้ จึงอยากให้รัฐบาลสื่อสารเรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การจะให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปสื่อสารอย่างเดียว คงไม่ครบถ้วนทุกมิติ

เมื่อถามว่าการใช้อำนาจเรียกนางสาวแพทองธาร หากไม่มาจะมีผลอย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าไม่มาจะต้องมีการชี้แจงเหตุผลในที่ประชุมสภา ในห้องใหญ่ว่าเหตุ และผลอะไรที่ไม่มา ซึ่งในกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือกับ กมธ.จะต้องชี้แจงต่อสภา เราคงได้มีการถามต่อไป ประชาชนเขาจะได้รู้ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเชิญไปแล้วครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมาก็พยายามพูดเรื่องนี้ แต่ไม่เคยได้สัญญาณอะไรเลย “ถ้าเกิดว่าท่านไม่มา แล้วท่านบอกว่าท่านจะมาในวันนี้ ถ้าจะมาวันนี้ เรายินดี แต่วันนี้เราติดต่อไปแล้วขอความร่วมมือแล้ว ท่านไม่ให้ความร่วมมือ เราต้องใช้อำนาจเรียกตามกฎหมายใหม่”

Related Posts

Send this to a friend