‘นิกร’ แจงร่างกฎหมายประชามติ ฉบับ ครม.เป็นร่างสมานฉันท์ ‘เพื่อไทย’ ‘ก้าวไกล’
‘นิกร’ แจงร่างกฎหมายประชามติ ฉบับ ครม.เป็นร่างสมานฉันท์ รวมฉบับ ‘เพื่อไทย’ และ ‘ก้าวไกล’ เชื่อจะผ่านการพิจารณาสภาฯ 18 มิ.ย.นี้
วันนี้ (17 มิ.ย. 67) ที่อาคารรัฐสภา นายนิกร จำนง ในฐานะโฆษกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน ซึ่งนายนิกร ได้เข้าชี้แจงการเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับที่ พ.ศ.ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี เข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ ในวันพรุ่งนี้ 18 มิ.ย.67
นายนิกร เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี เป็นร่างที่คณะกรรมการฯ เสนอว่าก่อนจะมีการทำประชามติในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติเสียก่อน ทางคณะรัฐมนตรี จึงให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการนำความเห็นจากร่างฯ ที่เสนอโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทย และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคก้าวไกล ที่เสนอในสภาผู้แทนราษฎร มาพิจารณาด้วย
“ข้อสรุปในการนำทั้ง 3 ร่างมาพิจารณา เป็นการนำข้อดีของทั้ง 3 ร่างมาร่วมกัน จึงกลายเป็นร่างที่ผสมผสาน จะเรียกว่าร่างสมานฉันท์ ก็ได้ และได้ไปเปิดรับฟังเสียงของประชาชน 15 วัน จึงกลายเป็นร่างที่มาจากความเห็นของประชาชนและทุกฝ่าย จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เป็นร่างที่จะเสนอสภาฯ พิจารณา และได้ส่งให้วิปรัฐบาลแล้ว เห็นด้วย วันนี้ผมมาชี้แจงวิปฝ่ายค้าน จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร และต่อมามีร่างพรรคภูมิใจไทย หลักการคล้าย ๆ กัน เชื่อว่าจะได้รับการพิจารณาทั้ง 4 ร่าง พรุ่งนี้ นายภูมิธรรม จะมาชี้แจงต่อสภาฯ”
นายนิกร กล่าวว่า มีปัญหาอยู่ว่า ร่างกฎหมายออกเสียงประชามติ ป็นร่างกฎหมายปฏิรูป ที่ต้องพิจารณาในรัฐสภา แต่มีมาตรา 270 มาเกี่ยวข้องจึงกลัวไม่เสร็จ ครม.จึงนำมาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน เชื่อว่าผ่านสภาฯ อาจใช้เวลาไม่มากนัก แต่เมื่อเข้าวุฒิสภา อาจต้องรอ สว.ชุดใหม่ จึงยังคาดการณ์เวลาที่แน่นอนไม่ได้
ส่วนสาระสำคัญของร่างกฎหมายประชามติฉบับคณะรัฐมนตรี เป็นการนำหลักการที่เป็นไปตามร่างของพรรคเพื่อไทย ให้ไปทำประชามติในการเลือกตั้งใหญ่ เช่นการเลือกตั้ง สส.และเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อประหยัดงบประมาณของรัฐ และเงินของประชาชนในการออกมาทำประชามติและเรื่องวิธีการออกเสียง กฎหมายเดิมให้หย่อนบัตรที่คูหาเลือกตั้ง แต่ที่เสนอใหม่ให้ใช้วิธีอื่น ซึ่งส่งไปรษณีย์ หรืออิเลคทรอนิกส์ ทำให้ประหยัดงบประมาณด้วย ซึ่งจะใช้กว่า 3,000 ล้านต่อครั้ง
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง ข้อยุติในการออกเสียงประชามติ ให้ยึดตามพรรคก้าวไกล เปลี่ยนจาก Double majority ให้เหลือเพียงว่า เสียงที่มีข้อยุติต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ แต่ต้องมากกว่าเสียงงดออกเสียง ซึ่งนำข้อเสนอของนายชูศักดิ์ มารวมด้วย และในหน่วยเลือกตั้งให้ใช้หน่วยเดียวกับการเลือกตั้งใหญ่ โดยให้ กกต.กำหนด จากเดิมให้เป็นเขตจังหวัด
นายนิกร ยืนยันว่า การพิจารณาร่างกฎหมายประชามติ ไม่เกี่ยวกับเรื่องคำถามประชามติ เพราะคณะรัฐมนตรี มีมติให้แก้ไขกฎหมายก่อน จากนั้นให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญ กกต.และสำนักงบประมาณ ไปหารือว่าจะให้ทำประชามติเมื่อไหร่ และใช้งบประมาณอย่างไร จึงมาคุยกันเรื่องคำถามประชามติ ซึ่ง ครม.มีมติไปแล้วว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 และ 2
“เรื่องนี้คณะรัฐมนตรีพิจารณาไปแล้ว ว่า การไม่เว้น (เรื่องหมวด 1 และหมวด 2 ) จะเป็นปัญหามากกว่า เพราะจะแสดงว่าจะไปแก้ หมวด 1 และ หมวด 2 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยหรือไม่ จะกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีการเป็นห่วงว่า การที่ไม่เว้นจะทำให้คนไม่ออกมาใช้สิทธิ์เพื่อล้มประชามติได้ เชื่อว่าร่างกฎหมายนี้ก็ช่วยแก้ปัญหาไว้ และหากมีการทำประชามติครั้งแรก 3,000 ล้านบาท ถ้าไม่ออกมาใช้สิทธิ์เกินกว่ากึ่งหนึ่ง จะไม่สำเร็จ จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญทำไม่ได้แล้ว”
นายนิกร กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (2560 ) ผ่านการทำประชามติก็จริง แต่ใช้เสียงข้างมากเท่านั้น แต่การใช้เสียงข้างมากสองชั้น เป็นเรื่องที่มาที่หลัง จึงไม่ห่วงว่า จะมีการคัดค้านเรื่องคำถามประชามติในภายหลังเพราะคณะรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอจากภาคประชาชนแล้ว สุดท้ายคณะรัฐมนตรี ยืนยันว่า ต้องเป็นคำถามอย่างที่มีมติ
“เราเชิญภาคประชาชน (Con for all) มารับฟังความเห็นแล้ว ยืนยันว่า รัฐบาลให้ตั้งคำถามตามนั้นว่าจะไม่แก้ไขในหมวด 1 และ หมวด 2 เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล นอกจากจะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งแล้ว ไม่อยากให้ขัดกับนโยบายของรัฐบาลด้วย รัฐบาลจึงเอาแบบนั้น” นายนิกร กล่าวย้ำ












