‘จาตุรนต์’ ชี้สังคมไทยยังไร้ภูมิต้านทานเผด็จการ
แนะใช้เจตนารมณ์ ‘พฤกษภาประชาธรรม’ สร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง
วันนี้ (17 พ.ค. 68) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลารำลึกครบรอบ 33 ปี เหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม ณ สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤกษภาประชาธรรม กรุงเทพมหานคร ภายหลังการเข้าร่วมพิธีดังกล่าว นายจาตุรนต์ ได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัว สะท้อนความเห็นว่า สังคมไทยยังคงไม่มีภูมิต้านทานต่อระบอบเผด็จการที่เข้มแข็งเพียงพอ พร้อมทั้งเสนอแนะให้คนในยุคปัจจุบันนำเจตนารมณ์ของวีรชนพฤษภาประชาธรรมมาเป็นบทเรียนในการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยให้มีความตั้งมั่น
นายจาตุรนต์ ระบุว่า การได้รับมอบหมายจากพรรคให้เป็นตัวแทนไปร่วมงานรำลึกในปีนี้ ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 33 ปีก่อน ซึ่งยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ แม้ที่ผ่านมาจะไม่ค่อยได้ร่วมงานหรือเขียนรำลึกถึงบ่อยนัก ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าการให้ความสำคัญไม่จำเป็นต้องไปร่วมงานเสมอไป และอีกส่วนอาจเป็นเพราะบรรยากาศทางการเมืองในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ผู้ที่เคยร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ได้แยกย้ายไปคนละทิศทาง
สส. พรรคเพื่อไทย ได้ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่พฤษภาประชาธรรม เริ่มตั้งแต่หลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยตามความต้องการของคณะรัฐประหาร และเปิดทางให้ผู้นำกองทัพก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่ง จากนั้น ได้เกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นสำคัญ อาทิ นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก สส. และประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นประธานรัฐสภา ซึ่งมีทั้งองค์กรภาคประชาชน นักศึกษา และพรรคการเมืองฝ่ายค้านทุกพรรคในขณะนั้นเข้าร่วม
นายจาตุรนต์ ยังกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นแกนนำหลัก และเป็นที่มาของคำว่า ‘ม็อบมือถือ’ เนื่องจากผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากมีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังได้เล่าถึงบทบาทของตนเองในการเป็นโฆษกบนเวที และการจุดติดของประเด็นเรียกร้องให้ ‘สุจินดา ออกไป’ อย่างเป็นธรรมชาติ เหตุการณ์ได้พัฒนาไปสู่การชุมนุมในเดือนพฤษภาคมบริเวณท้องสนามหลวงและถนนราชดำเนิน ซึ่งเผชิญกับการใช้กำลังปราบปรามจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก นำไปสู่ข้อยุติคือนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออก มีการนิรโทษกรรมผู้เกี่ยวข้อง และแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้ง
นายจาตุรนต์ ชี้ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในเดือนพฤษภาคม 2535 ได้สร้างคุณูปการสำคัญ คือ หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการของคณะรัฐประหาร และเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วม จนทำให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่เรียกกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งส่งผลให้ระบบพรรคการเมืองพัฒนา ประชาธิปไตยมีความหมายและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นายจาตุรนต์ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะรำลึกถึงการเสียสละของวีรชนและผลสำเร็จในการต่อต้านเผด็จการ แต่ดอกผลของประชาธิปไตยที่เคยงอกงามจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มาถึงวันนี้ได้ถูกทำลายไป แม้กระทั่งต้นประชาธิปไตยก็ถูกบั่นทอนและครอบงำด้วยกลไกอันซับซ้อน สส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ย้ำว่า สังคมไทยยังไม่มีภูมิต้านทานเผด็จการที่เข้มแข็งเพียงพอ หลักการพื้นฐานประชาธิปไตยยังไม่ถูกปลูกฝังอย่างแน่นแฟ้น และยังจำเป็นต้องส่งเสริมให้เห็นความเลวร้ายของเผด็จการและคุณค่าของประชาธิปไตยให้กว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่
ท้ายที่สุด นายจาตุรนต์ ได้ฝากคำถามถึงคนในยุคปัจจุบันว่า จะสามารถใช้กำลังสติปัญญาและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของประชาธิปไตยและกลไกสถาบันทางการเมืองได้อย่างไร โดยเสนอให้ศึกษาจากวีรชนพฤษภาประชาธรรมผู้ต่อสู้ด้วยสองมือเปล่าจนเอาชนะอำนาจเผด็จการที่เข้มแข็งได้สำเร็จ และนำเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ จิตใจที่กล้าหาญเสียสละ มาผสานกับความคิดสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นให้เกิดขึ้นได้จริง












