POLITICS

นายกฯ ชื่นชม “การผลิตข้าวยั่งยืน” วิถีทำนารูปแบบใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจก

วันนี้ (16 ธ.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รับทราบผลความสำเร็จของโครงการความร่วมมือไทย – เยอรมัน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคเกษตรกรรม (Thai – German Climate Programme – Agriculture) ซึ่งส่งเสริมการปลูกข้าวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 915,053 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล

โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานไทยและเยอรมนี ทั้งกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ ความปลอดภัยทางปรมาณูและคุ้มครองผู้บริโภค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMUV) มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี (พ.ศ. 2561-2565)

โครงการนี้ มีเกษตรกรและเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนการเกษตร ทั้งในส่วนกลางและในระดับจังหวัดเข้ารับการฝึกอบรมการผลิตข้าวยั่งยืนของโครงการฯ จำนวนมากถึง 30,389 ราย ใน 6 จังหวัดนำร่องพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี เน้นการเพิ่มองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีมาใช้และเรียนรู้วิธีการการตรวจวัด และการคำนวณค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตร เพิ่มพื้นที่ “การทำนาข้าวที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ” และเพื่อเป็นแนวทางส่งต่อการพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากรในภาคเกษตรรุ่นใหม่

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ยกระดับภาคการเกษตรผ่านการประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับข้าวยั่งยืน (Thai Agricultural Standard for Sustainable Rice: TAS) ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการปลูกข้าว การดูแล การจัดการโรคข้าว เพื่อส่งเสริมให้นำวิธีการปลูกข้าวลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนการเก็บเกี่ยวผลผลิตและการจัดเก็บสินค้าข้าว ผลักดันให้ข้าวไทยเป็นสินค้าเกษตรมีคุณภาพ มีมาตรฐานสากล และปลอดภัยต่อผู้บริโภค

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือที่ล้วนทำให้เกิดประโยชน์ต่อโลก ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่โลกต้องร่วมมือกัน โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ไทยให้ความสำคัญ ได้นำมาใช้ประโยชน์ และผลักดันอย่างต่อเนื่องคือแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีว่าความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจะช่วยภาคเกษตรกรรมให้เกิดการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งการพัฒนานี้ จะเพิ่มโอกาสให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต ซึ่งผลสำเร็จจากโครงการฯ ครั้งนี้ ถือเป็นการนำร่องวิถีทำนารูปแบบใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตและคุณภาพได้ตามมาตรฐานสากล สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้” นายอนุชา กล่าว

Related Posts

Send this to a friend