POLITICS

‘เพื่อไทย’ ชี้นายกฯ เป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ จี้ลาออกเปิดทางคนใหม่

วันนี้ (16 ส.ค. 65) พรรคเพื่อไทยจัดแถลงข่าว “8 ปีเจ๊งพอแล้วไหม ถ้าอยู่ต่อเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร”นำโดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส. เชียงใหม่ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย และอดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม นส.จุฑาพร เกตุราธร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางรัก นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขาธิการ และกรรมการคณะยุทธศาสตร์และการเมือง

นายพิชัย กล่าวว่า อยากให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ขึ้นดอกเบี้ยช้าที่สุด น้อยที่สุด โดยต้องไม่ให้เงินทุนไหลออกมากนัก ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่ การขึ้นดอกเบี้ยจะซ้ำเติม ค่าครองชีพสูง ข้าวของแพง น้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าแพง ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งน่าจะทำให้หนี้เสียมีเพิ่มขึ้น การที่รัฐบาลออกมาแถลงว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะไม่กระทบประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องจริง หรืออาจจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น

เมื่อพูดถึงเรื่องค่าไฟฟ้าแพง ก็อยากจะให้พลเอกประยุทธ์ได้ทำความเข้าใจก่อนที่จะพูดและ กล่าวหาคนวิจารณ์ค่าไฟฟ้าแพงว่าให้ข้อมูลมั่วทั้งที่ พลเอกประยุทธ์เองที่พูดมั่ว ที่บอกว่าค่าไฟฟ้าขึ้นจาก 3 บาทกว่าเป็น 4 บาทขึ้นนิดเดียว ทั้งที่ค่าไฟฟ้า ขึ้นมาจาก หน่วยละ 3.71 บาท เป็นหน่วยละ 4.00 บาท เมื่อเดือนพฤษภาคม และ กำลังจะขึ้นเป็นหน่วยละ 4.72 บาทในเดือนกันยายนตามที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ยืนยันแล้ว หรือจะขึ้นถึง 27% ใน 5 เดือน ซึ่งถือว่าสูงมาก

ผลการประชุมของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจครั้งล่าสุดแทบจะไม่มีอะไรเลย ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ ยังดื้อรั้นจะอยู่ต่อประเทศไทยจะประสบปัญหา 8 เรื่องดังนี้

  1. เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำต่อไปอีก
  2. หนี้สินจะเพิ่มขึ้นหมด หนี้สาธารณะจะยิ่งพุ่งสูง
  3. ข้าวของแพงและเงินเฟ้อ
  4. ราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้า และ ราคาก๊าซ จะยิ่งแพงขึ้น
  5. การลงทุนจะยิ่งหดหาย
  6. ความสามารถแข่งขันของไทยจะยิ่งลดลง
  7. การใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ
  8. จะเกิดการทุจริตคอรัปชั่นกันมาก 5 ปีที่ผ่านมา

นี่เป็น 8 ปัญหาหลัก ซึ่งอาจจะมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากในอนาคตหากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่ต่อ

นายกฤษฎา กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีมูลค่าการค้าชายแดนกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่รัฐบาลไม่สามารถมองข้าม หากต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจคือ การเข้าใจถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่ที่ไหน และบริบทของประเทศคืออะไร

ตัวเลขสำคัญในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเนื่องจาก
เป็นช่วงการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม การนำเข้าและการส่งออก รวมไปถึงการค้าชายแดนวันนี้มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 850,000 ล้านบาท ส่งออกกว่า 500,000 ล้านบาท นำเข้า 300,000 กว่าล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมถึงการส่งสินค้าทางเรือไปยังกลุ่มประเทศที่ไกลๆ เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง หรือ อเมริกา รัฐบาลควรที่จะให้ความสนใจและจำต้องมีแพทย์รองรับไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแซ็งทิศทางการรับเรียงสินค้าไปจนถึงเส้นทางนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่จะเดินทางมาในอนาคต

สำหรับการค้าชายแดนนั้น ตัวเลขการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ทั้งการนำเข้าและส่งออก แต่ตัวเลขที่ต้องระวังและถ้ายังบริหารงานแบบไม่เข้าใจบริบทของตัวเลขพวกนี้ อนาคต อาจจะเจอตัวเลขติดลบแม้แต่การค้าชายแดนก็เป็นได้

“วันนี้ หนองคาย ถือเป็นประตูบานแรกที่นักท่องเที่ยว นักลงทุน จะเปิดเข้ามาเจอ และหากท่านยังบริหารงานแบบไม่พร้อมอย่างนี้ต่อไป โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ด้านสาธารณะสุข หรือแม้แต่ด้านเทคโนโลยี ผมเกรงว่า เราก็อาจจะตกรถไฟขบวนนี้จริงๆก็ได้ครับ”

นายจักรพล กล่าวว่า จากการที่พรรคเพื่อไทยได้ชี้เป้าบาดแผลที่รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ได้ทำไว้กับระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะแผลการท่องเที่ยวทั้ง 5 แผล เช่น การว่างงานในระยะยาวอาจปรับตัวสูงสุด รายได้จากภาคการท่องเที่ยวในอดีตหายไปมากกว่า 3.5 ล้านล้านบาท เป็นต้น

โดยในวันนี้พรรคเพื่อไทยเตรียมพร้อมผ่าตัดครั้งใหญ่ให้กับรัฐบาลนี้ กับแผลเน่าที่รัฐบาลได้ทำไว้กับการท่องเที่ยวไทย หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการปิดประเทศและยกเลิก Thailand Pass ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย สหราชอาณาจักร ลาว และสหรัฐอเมริกา และมีแผนเตรียมกระตุ้นและขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวอย่าเต็มกำลังสูบ แต่แผนดังกล่าวจะใช้ได้ผลหรือไม่ หากยังมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่
 
นายจักรพล กล่าวต่อว่า แผลเน่าทั้ง 5 จุดที่รัฐบาลได้ทำไว้มีดังนี้ แผลเน่าที่ 1 ผลกระทบจากการเปิดประเทศช้า เป็นแผลเป็นเก่าที่ทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศเสียหาย แผลเน่าที่ 2 ค่าเหยียบแผ่นดิน แผลเน่าใหม่ที่ 3 ตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้ที่อาจจะหดหายไป แผลเน่าที่ 4 แผนการทำงานที่ไร้ความชัดเจน จากโครงการ “เราฟื้นด้วยกัน” และแผลเน่าสุดท้าย ราคาน้ำมันตลอดจนถึงค่าครองชีพที่แพงขึ้น จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน
 
“แผลเน่าทั้ง 5 จุดนี้จะทำให้ประเทศไทยย้ำอยู่กับที่ ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ซักที อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่าบุคลากรในภาคการท่องเที่ยวทั้ง ราชการ ผู้ประกอบการ แรงงานมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อ แต่หากคนคุ้มหางเสือยังเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่ก็ยากที่จะพาประเทศไปต่อในทางข้างหน้าได้ เพราะพลเอกประยุทธ์ไร้ซึ่งความความรู้ ไม่มีความสามารถในการคิดต่อยอด ไม่มีการวางแผนในการเดินหน้าที่มีประสิทธิภาพ ไร้แผนการป้องกันที่เหมาะสม ทั้งหมดนี้มันทำให้สรุปได้ว่าประเทศไทยไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีคนนี้อีกต่อไป เวลานี้ประชาชนคงทำได้แต่ภาวนาให้หมดวาระของพลเอกประยุทธ์ให้เร็วที่สุด แต่พรรคเพื่อไทยขอเป็นอีก 1 ขุมพลังที่จะช่วยขับไล่นายกฯ ท่านนี้และสร้างแสงสว่างให้กับประเทศไทยอีกครั้ง”

ด้าน นางสาวจุฑาพร กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ คือ ภัยคุกคามร้ายแรงทางเศรษฐกิจ เพราะล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา เน้นแจกเงิน มากกว่าการสร้างงาน แจกจนหนี้ประเทศพุ่งสูงมาก ทิ้งให้คนรุ่นหลังต้องแบกภาระหนี้สิ้นและคงต้องมาชดใช้หนี้ คนรุ่นใหม่ที่ควรมีความฝัน ความหวัง กลับต้องมาพบเจอแต่ความยากลำบากในยุคการบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ ถูกปิดกั้นเสรีภาพทางความคิด ถูกจับกุม เมื่อเห็นต่าง ปกครองด้วยกระบอกปืน จนกระทั่งกลุ่มคนเหล่านี้เกิดความท้อแท้ หมดหวัง และชวนกันอยากย้ายประเทศ แม้ว่าทุกคนคงไม่สามารถย้ายประเทศหนีไปได้หมด แต่หากกลุ่มคนมีความรู้ความสามารถเหล่านั้นไปศึกษาต่อ หรือไปทำงานประเทศอื่นถาวร ก็ถือเป็นความสูญเสียของประเทศอันใหญ่หลวงที่ต้องเสียทรัพยากรที่มีค่าทางเศรษฐกิจไป สิ่งที่พลเอกประยุทธ์จะช่วยประเทศไทยได้ดีที่สุด คือ การหลีกทางให้คนที่มีความสามารถ และมีความเหมาะสมกว่าเข้ามาบริหารประเทศแทน

Related Posts

Send this to a friend