‘เสรีพิศุทธิ์’ พร้อมคุมกลาโหม ขึ้นอยู่กับพรรคแกนนำรัฐบาลจะจัด ชี้ เงื่อนไข สว. อยู่ที่จิตสำนึก

วันนี้ (16 พ.ค. 66) ในรายการสัมภาษณ์พิเศษกับ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เกี่ยวกับการรวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) ในการจัดตั้งรัฐบาล โดยระบุว่า ตนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้มาก แต่พรรคก้าวไกลได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนให้เป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากที่สุด และเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของพรรคก้าวไกลในการเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมทั้งหมดก็สนับสนุนทั้งหมด เพราะแนวทาง และครรลองที่ชอบธรรมในการที่เราจะบริหารบ้านเมืองกันต่อไป
ส่วนเรื่องการจะดึงพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาเพื่อให้เสียงเกินกว่า 376 เสียง ในการข้ามเงื่อนไขของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลที่จะไปเจรจากับพรรคอื่นๆ เพื่อรวบรวมเสียงให้ได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งอยู่ที่ความสามารถของนายพิธา และเราก็พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกแปลกใจหรือไม่ หลังเห็นผลคะแนนของพรรคก้าวไกล และอาจจะเป็นสะท้อนของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศจาก 3 ป. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า ก็รู้สึกงงเหมือนกัน แต่ในช่วงท้ายของการเลือกตั้งเห็นว่าประชาชนสนับสนุนพรรคก้าวไกลเยอะ และเป็นไปตามกระแสของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เป็นฉันทานุมัติของประชาชน
ส่วน 3 ป. นั้นตนมองว่าควรยุติบทบาททางการเมือง ซึ่งหากคิดเป็นก็ควรยุติไปได้นานแล้ว ที่จะได้อยู่อย่างปกติสุขได้ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็อาจจะคงลำบาก เพราะเมื่อมีโอกาสแต่ไม่ยอมหยุดเอง ก็จะต้องรับสภาพกันเอาเอง
สำหรับท่าทีของพรรคอื่นๆ ที่จะเห็นด้วยกับการให้พรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล ตนก็เห็นด้วยเพื่อให้การเลือกตั้งผ่านไปได้อย่างราบรื่น และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆ เล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก ซึ่งพรรคการเมืองที่รอดูท่าทีไม่แสดงออกก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่ออีกถามว่า นายพิธาให้สัมภาษณ์ว่าเล็งคุมกระทรวงกลาโหม แต่หากมีมติพรรคร่วมฯ เห็นว่ามีผู้ที่เชี่ยวชาญมากกว่า ก็พร้อมที่จะให้คนอื่นดูแล พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของนายพิธาที่จะเสนอใครโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงไหน ก็เป็นสิทธิของพรรคก้าวไกล แต่หากถามตนในเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง ตนคิดว่าตัวเองไม่แพ้ใคร เพราะดูจากประวัติของตนเองในอดีต และมีความตั้งใจเข้าไปที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้น และทำให้เป็นทหารเพื่อประชาชน และสามารถทำหน้าที่แทนได้ รวมทั้งเสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ลงพื้นที่ก็อยากให้ได้รับตำแหน่งดังกล่าว ที่จะไปดูแลให้ประชาชนเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน

แต่หากพรรคที่เป็นแกนนำมอบหมายงานอะไรให้ ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเรื่องความมั่นคงเพียงอย่างเดียว ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน เรื่องสาธารณสุข หรือเรื่องการศึกษา
เมื่อถามถึงท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา ที่เริ่มมีเสียงแตก บางฝ่ายพร้อมที่จะสนับสนุนพรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 แต่บางฝ่ายก็จะสนับสนุนจากคุณสมบัติของตัวว่าที่นายกรัฐมนตรี จะทำให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เผยว่า สว. ไม่ได้มาจากประชาชน และมาจากการแต่งตั้ง ซึ่งที่มาก็ไม่ได้มาจากความชอบธรรม แต่หากเป็นข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญแล้วก็ต้องปฎิบัติ และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของ สว. แต่ละคน ไม่สามารถไปก้าวก่ายบังคับได้ อยู่ที่ว่าพวกเขาจะรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอย่างไร
ถามต่อว่า การแสดงออกของสมาชิกวุฒิสภา อาจจะทำให้เป็นการเมืองที่ลงถนนหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ระบุว่า คิดว่าถ้าลงถนนตอนนี้คงยาก เพราะคนที่ลงถนนก็มีประสบการณ์มาแล้ว และใครจะเป็นแกนนำ ซึ่งควรพูดกันด้วยเหตุผล จะใช้กำลังกันก็คงไม่ได้ ส่วนทางออกคือต้องดูตามข้อเท็จจริง หากไม่มีเหตุอะไรให้ขัดคุณสมบัติก็ควรที่จะโหวตเขาเข้าไป
เมื่อถามว่าหากสมมุติว่า พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และเป็นพรรคเพื่อไทยที่ดึงพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาจนเกิดการแตกหักจะมีความเห็นว่าอย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ตอบว่า ก็เป็นสิทธิของเขา และพรรคเสรีรวมไทยก็ยึดตามเสียงส่วนใหญ่
สำหรับการเมืองในปัจจุบันขณะนี้ที่พรรคก้าวไกลมีคะแนนสูงสุด และมีนโยบายที่อาจจะสร้างความกังวลกับหลายภาคส่วน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การรัฐประหารหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เชื่อว่า การรัฐประหารในสมัยนี้นั้นยาก เพราะ ผู้บัญชาการทหารบกในปัจจุบันก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่เกี่ยวกับทางการเมือง
ส่วนกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า ถ้าฝืนมติประชาชนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็จะอยู่ไม่ได้ และอาจจะไปหาซื้องูเห่าในวันข้างหน้า แต่ก็จะอยู่ได้ไม่นาน และคิดว่าไม่ควรจะฝืนดีกว่า
ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ระบุว่า ฝ่ายค้านเดิมที่ผ่านมาก็ต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการมาโดยตลอด พยายามที่จะยืนหยัดปกป้องประโยชน์ของประชาชน แต่เสียงฝ่ายค้านเดิมก็ไม่เพียงพอที่จะล้มเผด็จการได้ จากปัจจัยหลายๆ อย่าง ก็ขอโอกาสเข้าสภาเมื่อไหร่จะตั้งกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากตรงไหนมีหลักฐานผิดจริงก็ดำเนินคดีต่อไป
