POLITICS

‘อมรัตน์’ ชำแหละ กอ.รมน. เป็นรัฐซ้อนรัฐ ให้กองทัพแทรกแซงทุกเรื่อง

‘อมรัตน์’ ชำแหละ กอ.รมน. เป็นรัฐซ้อนรัฐ ให้กองทัพแทรกแซงทุกเรื่อง เป็นอันตรายที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ปะทะฝีปาก ‘นิโรธ’ ปมนายกฯ ดับสัญญาณนิรโทษกรรมผู้ต้องหาการเมือง

วันนี้ (16 ก.พ. 66) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 28 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันสุดท้าย

นางอมรัตน์ อภิปรายว่า ความแตกแยกในหมู่ประชาชนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนลุกลามบานปลายไปจนถึงวิกฤตศรัทธาต่อสถาบันหลักของชาติทุกสถาบัน ส่วน กอ.รมน. ในการปราบปรามคอมมิวนิสต์เมื่อ 50 ปีก่อนก็มีผลงานอย่างเหตุการณ์ “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง” สังหารประชาชนกว่า 3 พันศพ เมื่อปี 2515 และเหตุการณ์ “เผาหมู่บ้านนาทราย” จังหวัดหนองคาย เมื่อปี 2517

“สิ่งที่ทำให้ประเทศเรา มีสทหารเป็นผู้เล่นหลักในทุกสนาม เหมาหมดในการดูแลความมั่นคงทั้งภายนอกและภายใน ทำทุกเรื่องตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แต่พอเจอคลื่นลมเรือรบก็จมลงอย่างน่าอับอาย นับวันกองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองผ่าน กอ.รมน. จนปัจจุบันการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปลักษณะรัฐซ้อนรัฐอย่างเต็มรูปแบบ”

นางอมรัตน์ อภิปรายว่าการรัฐประหารสองครั้งล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลง กอ.รมน. อย่างยิ่งใหญ่ อย่าง พ.ร.บ.ภัยความมั่นคง พ.ศ. 2551 หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.รมน. ให้ ผบ.ทบ. มาเป็นเลขาฯ กอ.รมน. ด้วย มีงบประมาณและกำลังพลส่วนตัว และจัดตั้ง กอ.รมน. ระดับภาคและระดับจังหวัดด้วย ทำให้โครงสร้างแบบรัฐซ้อนรัฐจะส่งผลระยะยาวต่อไปและตลอดไปหากไม่มีการแก้ไข แม้ว่าวันข้างหน้าเราจะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นพลเรือนก็ตาม แต่โครงสร้างแบบนี้ที่กองทัพสร้างไว้ก็จะตามหลอกหลอนเราไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างจากที่ทหารยึดอำนาจเลย

“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจล้นเหลือ ขยายออกไปถึงสิ่งที่ไม่ใช่กิจของทหาร เรียกว่าเข้าไป ส. ทุกเรื่อง ที่ไม่ใช่เรื่องของตน ทั้งที่หน้าที่คือการดับไฟใต้สามจังหวัด แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่เคยเบาบางลง แถมยังทวีความรุนแรงขึ้นทุกที … กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่อันตรายที่สุดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา”

นางอมรัตน์ เสนอว่า การดำเนินนโยบายความมั่นคงแบบเดิม โดยใช้ กอ.รมน. เข้าไปแก้ไขปัญหาทุกเรื่องด้วยวิธีคิดแบบทหาร กินงบประมาณโดยทหาร จะต้องยุติลงโดยทันที เอาทหารออกจากภารกิจความมั่นคงภายในโดยเร่งด่วน ซึ่งเป็นหน้าที่ของพลเรือน รัฐบาลที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่จะต้องหยุดหมกมุ่นกับเรื่องหาศัตรูภายในชาติ ต้องไม่แช่แข็งตนเอง แล้วศึกษาความมั่นคงในโลกยุคใหม่

“รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยต้องดำเนินนโยบายความมั่นคงที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยหลักการที่หนักแน่นว่า ความมั่นคงของประชาชน คือความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ความมั่นคงของชาติ คือความมั่นคงของทรราช” นางอมรัตน์ กล่าวก่อนให้ข้อเสนอ ดังนี้

1.ยุบ กอ.รมน. โดยทำคู่กับการปฏิรูปกองทัพ
2.ปฏิรูปสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ตำแหน่งเลขาธิการมาจากพลเรือนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะ
3.แก้ไขกฎหมายความมั่นคง ทั้งกฎอัยการศึก พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กับมาตรา 116
4.ให้สัตยาบันอนุสัญญากรุงโรมว่าด้วยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
5.ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้กับผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่เป็นผลพวงจากการบริหารประเทศของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นางอมรัตน์ ยังอภิปรายว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์มีใจความว่า ปิดประตูนิรโทษกรรม จึงอยากฝากประธานฯ ไปถึงพลเอก ประยุทธ์ ว่า “พูดหมา ๆ อย่างนั้นได้อย่างไร ?”

นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วงว่า นางอมรัตน์ พูดเร็วมาก ฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้บ้าง ทั้งยังใส่ร้ายป้ายสี

ประธานฯ วินิจฉัยว่ายังไม่ผิดข้อบังคับ แต่ต่อมา นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส. นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วงว่า นางอมรัตน์ ใช้คำหยาบคาย “สุภาพสตรีไม่น่ารักครับแบบนี้ สมาชิกที่เป็นสุภาพสตรีอย่างนี้ ไม่น่าล่ะครับ ปากอย่างกับหมา” ประธานฯ จึงให้ถอนคำพูด และนางอมรัตน์ ไม่ติดใจ

Related Posts

Send this to a friend