‘พิธา’ เคารพ ‘ตะวัน’ ถอนประกันตนเอง ชวนสังคมตั้งสติ-เปิดใจฟัง
‘พิธา’ เคารพ ‘ตะวัน’ ถอนประกันตนเอง ชวนสังคมตั้งสติ-เปิดใจฟัง หวังสภาฯ สมัยหน้าแก้ ม.112 มองรัฐบาลหน้าต้องนิรโทษกรรม-ยุติคดีการเมือง
วันนี้ (16 ม.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง และ อรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) นักกิจกรรมพร้อมทนายความ เดินทางไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นหนังสือและคำร้องขอถอนประกันตัวเอง
นายพิธา กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน มีเยาวชนและประชาชนถูกดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมืองทั้งสิ้นอย่างน้อย 1,888 ราย ในจำนวนนี้ถูกดำเนินคดีด้วย ม.112 อย่างน้อย 225 ราย รวมตะวันและแบม ซึ่งวันนี้ทั้งสองได้เดินทางไปขอถอนประกันตัวเองที่ศาล เพื่อแสดงออกว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ถูกกักขังอยู่อย่างไม่เป็นธรรมจากคดีทางการเมือง
นายพิธา กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ทนายความได้ติดต่อให้ตนเองไปเป็นนายประกันของตะวัน ศาลจึงอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวตามคำร้อง และแต่งตั้งให้ตนเองเป็นผู้กำกับดูแลตะวัน ในวันนี้ อาจมีหลายคนไม่เห็นด้วยกับการขอถอนประกันตัวเองดังกล่าว แต่ในฐานะผู้กำกับดูแล ก็เคารพการตัดสินใจของตะวัน
นายพิธา กล่าวว่า วิกฤตการเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อประชาชนลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลง ผู้มีอำนาจกลับปราบปรามพวกเขาด้วยความรุนแรง จับกุมคุมขัง และดำเนินคดีโดยไม่สนใจหลักนิติรัฐและหลักสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อกระบวนการยุติธรรมและสถาบันตุลาการคือ กลไกตั้งแต่ตำรวจ อัยการ และศาล กำลังถูกมองว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปราบการแสดงออกประชาชนเช่นกัน อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ความรุนแรงจากกระบวนการยุติธรรม’
นายพิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีนวัตกรรมใหม่ในการกดปราบประชาชน นั่นคือเมื่อมีการดำเนินคดีทางการเมือง ในหลายคดีหากผู้ต้องหาหรือจำเลยอยากได้อิสรภาพ ศาลจะอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวได้ ก็ต่อเมื่อยอมรับเงื่อนไขว่า ‘ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาหรือเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ อันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ในบ้านเมือง และห้ามจำเลยกระทำการใดๆ ในอันที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเกิดความกระทบกระเทือนต่อสถาบันฯ’ และผู้ต้องหาหรือจำเลยหลายคนจะถูกถอนการประกันตัวเพราะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง นั่นหมายความว่า แม้การพิจารณาคดีจะยังไม่ถึงที่สุด ศาลกลับพิพากษาไปล่วงหน้าแล้วว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยกระทำผิด รวมทั้งการพิจารณาว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะได้รับสิทธิในการประกันตัวหรือไม่ กลับไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย
นอกจากนี้ นายพิธา ยังกล่าวว่า การตั้งเงื่อนไขให้ต้องใส่กำไลข้อเท้า (EM) หรือแม้แต่การห้ามออกจากบ้านนั้น ก็เป็นการ ’ลงโทษ’ มากกว่าการให้อิสรภาพหรือคืนความเป็นธรรมแก่จำเลย ตนเองอาจใช้คำเดียวกับทานตะวันว่าเป็น ‘อิสรภาพจอมปลอม’ โดยเฉพาะกับผู้ต้องหาหรือจำเลย ม.112
“ผมเห็นว่า การดำเนินคดีการเมืองอย่างที่เป็นอยู่กำลังจะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่มีทางออก และผมไม่เชื่อว่าการใช้ ม.112 อย่างนี้จะเป็นผลดีต่อสถาบันฯ เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน การใช้ ม.112 จะยิ่งสร้างความแตกร้าวระหว่างประชาชนกับสถาบันฯ มากขึ้นไปอีก” นายพิธา กล่าว
นายพิธา ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือปัญหาแรก ๆ ที่รัฐบาลสมัยหน้าต้องแก้ คือ หนึ่ง ยุติการดำเนินคดีการเมือง และสอง นิรโทษกรรมนักโทษคดีการเมือง เพื่อคืนความยุติธรรม ลดความขัดแย้งทางการเมือง และเปิดทางให้ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยแก้ปัญหาการเมืองที่สะสมมานับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 นอกจากนั้น สภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้าควรต้องแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงหลายฉบับ รวมทั้ง ม.112 ที่อย่างน้อยต้องมีการแก้ไขบทบัญญัติไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และมีความสมดุลกันระหว่างการคุ้มครองประมุขของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
“ผมยังยืนยันในสิ่งที่เคยอภิปรายไว้ในสภาฯ ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรหยุดแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งการแสดงออกในโลกออนไลน์ ยังมีเยาวชนและประชาชนอีกมากมาย ที่ได้แสดงออกถึงประเด็นที่เป็น ‘Inconvenient Truth’ หรือ ‘ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ’ ถ้าพวกเราพร้อมและต้องการที่จะรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่จริงๆ ผมขอเชิญชวนให้ตั้งสติเสียใหม่ เปิดใจ ปรับมุมมอง แล้วลงมือหาทางออกของประเทศไปด้วยกัน แต่ถ้าเราไม่พร้อม เราก็จะมองเห็นเพียงแค่ว่า ผู้เป็นอนาคตของชาติเหล่านั้น เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันฯ เช่นนั้น ประเทศก็จะไม่มีทางออก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเราช่วยกันฆ่าอนาคตของประเทศด้วยมือของพวกเราเองแล้ว” นายพิธา กล่าว