POLITICS

‘ชูวิทย์’ แฉต่อ ระบุ ‘เศรษฐา’ ตั้งบริษัทนอมินี กู้เงินบริษัทลูก ซื้อที่ดินย่านทองหล่อ ปั่นราคาสูงถึงพันล้าน

พร้อมเปิดหลักฐานพบ แม่บ้าน – รปภ. เป็นผู้ถือหุ้น ก่อนขายต่อให้บริษัทตัวเอง ชี้ หากเศรษฐา ไม่ได้เป็นนายกฯ พร้อมหยุดแฉโดยทันที

วันที่ (15 ส.ค. 66) เวลา 13:00 น. ที่โรงแรมเดวิส สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในชื่อตอน “ปั่น บวม ตัดตอน” เกี่ยวกับการซื้อที่ดินย่านทองหล่อ มูลค่า 565 ล้านบาท โดยนายชูวิทย์ กล่าวหาว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ในขณะนั้น มีการใช้กลุ่มนอมินี ซึ่งเป็นแม่บ้าน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไปซื้อบริษัทเอกชนที่มีทุนจดทะเบียนในราคา 100 ล้านบาท ซึ่งจดทะเบียนชื่อเหมือนกันให้เป็นบริษัทนอมินี มายื่นกู้เงินกับบริษัทลูกของตนในจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยไม่มีการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันใด ๆ

นายชูวิทย์ ระบุว่า กระบวนการก่อนที่จะมาเป็นคอนโดมิเนียมนี้ เริ่มจากที่ดินแปลงทองหล่อ โดยมี 10 โฉนด แบ่งเป็นคอนโด 9 โฉนด ซึ่งที่ดินแปลงนี้ก่อนจะสร้างคอนโด เดิมถือโดยบริษัทตัวจริง มีผู้ถือหุ้น 4 คน คนละ 25 เปอร์เซ็นต์ จดจำนองไว้กับธนาคาร 465 ล้านบาท ต่อมาในวันที่ 11 ก.พ. 58 บริษัทนอมินี ซื้อหุ้นจากบริษัทจริงในราคา 565 ล้านบาท ที่มาจากเงินทุนจดทะเบียน 100 ล้าน และเงินที่ต้องปลดจำนอง 465 ล้านบาท โดยบริษัทนอมินี เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น 3 คน คือ นางสาว พ. เป็นแม่บ้าน (ไม่มีอาชีพ) ถือหุ้น 99.99 เปอร์เซ็นต์ จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นชาวจังหวัดมหาสารคาม และไม่พบประวัติการเสียภาษี ส่วนนาย ส. และ นาย พร. เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทหนึ่ง อีกคนละ 0.0001% ซึ่งทั้งคู่เป็นชาวจังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด

การจะซื้อบริษัท ต้องกู้เงินจากบริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง โดยบริษัทให้กู้ 1,000 ล้านบาท และนิติกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 11 ก.พ. 58 จากนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ นำเงินของประชาชน ซึ่งเป็นเงินที่ซื้อหุ้นบริษัทจำนวน 1,000 ล้านบาท ไปซื้อบริษัทจากกลุ่มนอมินี ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมกับกลุ่มผู้ถือหุ้น ก่อนจะซื้อ และสร้างคอนโดขึ้นมาในใจกลางทองหล่อ

นายชูวิทย์ ตั้งคำถามว่า มีการกู้ 1,000 ล้านบาท แต่เอาไปซื้อในราคาเพียง 565 ล้านบาท ส่วนต่างกว่า 435 ล้านบาทหายไปไหน อีกทั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว สามารถซื้อที่ดินจากบริษัทจริงได้ แต่ใช้วิธีตั้งบริษัทนอมินี เข้ามาซื้อแทน โดยที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และให้นางสาว พ. เป็นตัวปั่นราคา ในการขายที่ดินต่อให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป็นราคา 1,000 ล้านบาท ทำให้ราคาที่ดินบวมขึ้น เป็น 957.55 ล้านบาท เพราะยังเหลือไว้อีก 1 โฉนด

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า หลังจากมีการซื้อขายที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัมนอมินีได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจาก น.ส. พ. เป็น นาย ย. ในวันที่ 24 พ.ค. 60 เพื่อให้สถานะบริษัทถูกทิ้งร้าง เป็นการตัดตอนการสืบสวนเส้นทางการเงินผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง มองว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการปั่น บวม และ ตัดตอน

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ มองว่านายเศรษฐา เป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทลูก โดยนายเศรษฐาจะอ้างว่าเป็นคนเซ็นอย่างเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้ อีกทั้งนายชูวิทย์ ยังกล่าวหาว่า หากนายเศรษฐาเป็นนายกฯ จะเซ็นอย่างเดียวอีกหรือเปล่าไม่รู้ เพราะบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นนอมินีของนายเศรษฐานั่นเอง

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตุว่า ในวันที่ 11 ก.พ. 58 มีการทำธุรกรรมด้านธุรกิจพร้อมกันถึง 3 รายการ ประกอบด้วย สัญญาหนังสือจำนองที่ดิน บ.นอมินี 465 ล้านบาท, สำเนาการเปลี่ยนบัญชีผู้ถือหุ้น เป็นนอมินี 3 คน เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท และเอกสารให้กู้เงินของบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไปให้บริษัทนอมินี 1,000 ล้านบาท ซึ่งนายชูวิทย์ มองว่าโดยปกติแล้วการทำธุรกรรมทางด้านธุรกิจจะไม่เกิดขึ้นแบบนี้ในวันเดียวกัน

นายชูวิทย์ ระบุอีกว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นแค่ตัวอย่าง นอกจากที่ทองหล่อ ข้ามไปสุขุมวิทตอนต้น เสร็จแล้วก็สุขุมวิทอ่อนนุช อันนี้ธรรมดา แต่ตอนนี้ มีการตั้งบริษัทเมืองนอกมาถือหุ้น ให้เงินกู้ เงินก็ไปต่างประเทศทันที จากที่ตามร่องรอยไปถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยอ้างว่า บุคคลคนนี้ คือคนสำคัญที่อยู่ข้างกายนายเศรษฐา ซึ่งในวงการรู้จักกันดี คือ Mr.T หรือ ทศ ที่มีชื่อว่า ขงเบ้ง ส่วนรายละเอียดของนายขงเบ้งให้ติดตามในตอนต่อไป

จากนั้น นายชูวิทย์ ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมเลียนแบบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยบอกว่าโทรหานายทักษิณ แล้วพูดว่า “ฮัลโหล ๆ นายครับ เรื่องใหญ่แล้วล่ะครับ เศรษฐาโดนแฉ มันให้ รปภ.กับแม่บ้านกู้พันล้าน งานนี้ไอ้เบ้งมันได้เงินมา แล้วมันไปแบ่งใคร ชิบหายแล้ว”

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ได้หยิบเอกสาร ซึ่งเป็นคำฟ้องที่นายชูวิทย์ ฟ้องนายเศรษฐา และนายวิญญัติ ทนายความ จำเลยที่ 2 ในความผิดร่วมกันฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นายชูวิทย์ระบุว่า คำฟ้องนี้จะไปยื่นต่อศาล คิดค่าเสียหาย 90,000 บาท โดยคิดวันละ 10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม วันที่ฟ้อง จนถึงวันพรุ่งนี้

นายชูวิทย์ เผยอีกว่า จะเตรียมเรื่องของนายเศรษฐาไปยื่นต่อ กลต. เพื่อตรวจสอบ พร้อมยื่นให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ประกอบการตัดสินใจในการโหวตนายกฯ เชื่อมั่นว่า ข้อมูลชุดนี้จะถูกขยายผล ไม่ว่าด้านการเมืองหรือด้านอื่น ๆ ก็ตาม พร้อมยืนยันว่า ข้อมูลต่าง ๆ เป็นข้อเท็จจริง และพร้อมสู้จนถึงชั้นฎีกา “ศาลในศาลนั้น ผมสู้กับคุณยันศาลฎีกา ผมพร้อมจะฉีดยาฆ่ามะเร็งเพื่อที่จะอยู่สู้กับคุณ”

นายชูวิทย์ ยังระบุด้วยว่า การแฉครั้งนี้ เป็นการแฉเพื่อชาติครั้งสำคัญ ได้ถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อนายเศรษฐา ไม่ผ่านการโหวตนายกฯ ไม่ว่าในวันที่ 18 ส.ค. หรือ 22 ส.ค. ภารกิจแฉเพื่อชาติของตนจะจบลงโดยทันที ส่วนเหตุผลที่กระบวนการทั้งหลายที่มาต่อรองช่วง 1-2 วันนี้ เป็นการต่อรองให้ตนเงียบ ‘ให้หยุด ไม่ให้แฉ’ แลกการกับไม่แฉเรื่องของตน เช่น เรื่องทรัพย์สมบัติ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ล้วนเป็นการต่อรองทั้งสิ้น

นายชูวิทย์ กล่าวว่า การที่มาแฉเรื่องนายเศรษฐา เพราะว่า เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องแลก ซึ่งตนแลกกับผลประโยชน์ของรัฐ หากนายเศรษฐายอมถอย หรือพรรคเพื่อไทยเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ ก็พร้อมจะหยุดแฉโดยทันที

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้นำเค้กมาเซอร์ไพรซ์วันเกิดให้กับนายชูวิทย์ ก่อนที่นายชูวิทย์จะกล่าวขอบคุณ และบอกว่าวันเกิดปีนี้ อาจจะเป็นวันเกิดปีสุดท้ายที่ได้ฉลอง

Related Posts

Send this to a friend