POLITICS

เปิดใจ ‘เศรษฐา’ หลังเป็นนายกฯ มา 7 เดือน รับ ยังไม่พอใจการทำงาน ต้องทำให้ดีกว่านี้

เปิดใจ ‘เศรษฐา’ หลังเป็นนายกฯ มา 7 เดือน รับ ยังไม่พอใจการทำงาน ต้องทำให้ดีกว่านี้ เผย ปรับตัวเยอะ เพราะต้องฟังเสียงหลายฝ่าย ย้ำ มีเป้าหมายคือทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ลั่น พร้อมเสียเพื่อนหากเป็นอุปสรรค ขอผลประโยชน์ทับซ้อน

วันนี้ (15 เม.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา ว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้ว แต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว 140% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ณ เวลานี้ จากเดือนมกราคม – เมษายน เราได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90% พร้อมมั่นใจว่าสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ จากการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์ถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้

ส่วนเรื่องของกรมศุลกากร ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี จากรายได้ของประเทศ ปีละประมาณ 3 ล้านล้านบาท กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน 3 กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ 1 แสนล้าน คิดเป็นประมาณ 3% ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ แต่แม้เก็บได้ 3% ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อน ที่มากระทบชีวิตประชาชน โดยหนึ่งในนั้นคือการควบคุมยางพาราเถื่อน จนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น และถือเป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด ซึ่งตนเองได้พูดหลายครั้งว่ากรมศุลกากรมีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้ได้แค่ 3% ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริง ๆ ในหลายมิติ หรือเรื่อง ภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหลทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าตนเองไม่สบายใจ หรือพึงพอใจ โดยขอใช้คำว่ายังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7 เดือน แต่ก็ต้องพยายามต่อไป และทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุนเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด

ส่วนการต้องปรับตัวหลังจากมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายเศรษฐา ระบุว่า ต้องปรับตัวมากจริง ๆ จากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท ผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ แต่เมื่อเป็นผู้บริหารบริษัท ก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการ และผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ได้ 141 เสียงจาก 500 เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สส. สว. สถาบันความมั่นคง NGO นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุย และการอธิบาย ดังนั้น ขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้น การบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วน ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ช้าไปบ้าง

“แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าการขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว

ส่วนการเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกฯ ย่อมมีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ และมีเรื่องการเอื้อประโยชน์ มีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หน้าที่ของตนเองไม่ไช่การเซฟตัวเอง ตนเองมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมืองมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเอง ตนเองไม่มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีแน่นอน เรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัว ก็ลงตัวแล้ว ในอดีตตนเองมีรายได้พอสมควร มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างสบาย ๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมือง จึงไม่มี โดยคนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว อย่างที่ย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป มีเรื่องดียว คือ ยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งตนเองได้

“การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อนเป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูล และรู้ลึกทุกเรื่อง ผมมีประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน” นายเศรษฐา กล่าว

ส่วนการเข้ามานั่งเป็นผู้นำ อาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง ในกรณีที่ไม่สมประโยชน์กัน นายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร นายเศรษฐา ระบุว่า ตนเองเจอเพื่อนทุกคนก็คุยกันว่า คนอายุ 60 ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ อยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคยไป ทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น

“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่าง ๆ ที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความ เป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบ จากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้น มั่นใจว่าหากอีก 3 ปีครึ่งต้องมีเพื่อนน้อยลง แลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับมุมมองทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายเศรษฐา ระบุว่า หลายคนอาจบอกว่านักการเมืองมีทั้งดี และเลว แต่บางคนที่บอกว่านักการเมืองเลว เพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่าง หรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้น การที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ตนเองคิดว่าคนพวกนั้นดูถูกตนเองไปนิดนึง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไร ก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม

ส่วนเรื่องของงบประมาณ มีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า “Bigger Bang For The Buck” หมายความว่า หากใส่เงินไป 1 บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า 1 เหรียญ พร้อมยกตัวอย่างว่า หากดูแลเรื่องไม่ท่วมไม่แล้ง ก็จะได้ผลประโยชน์สองต่อ คือ ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้น รัฐบาลก็ต้องรับฟัง

Related Posts

Send this to a friend