POLITICS

‘พริษฐ์’ ชี้ 49 ปี รัฐธรรมนูญไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย

‘ไอติม พริษฐ์’ ขึ้นเวทีปาฐกถา 14 ตุลา ชี้ 49 ปี ไทยยังคงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย – ชู 4 พันธกิจเปลี่ยนประเทศสู่ประชาธิปไตย ที่คนทุกรุ่นต้องร่วมมือกัน

วันนี้ (14 ต.ค. 65) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงปาฐกถาในงาน ’14 ตุลา 16 ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยแค่ไหน’ ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

นายพริษฐ์ ระบุว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในแต่ละยุคต้องพบเจอเหมือนกัน คือการเติบโตมาในยุคที่การเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น คนรุ่นใหม่ในยุค 14 ตุลาเป็นยุคที่เติบโตมากับระบบเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานและมีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จตามมาตรา 17

ขณะที่คนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันเติบโตมาในยุคที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอย่างเต็มใบและต้องอาศัยอยู่ภายใต้ ‘ระบอบประยุทธ์’ ซึ่งเป็นเสมือนเผด็จการอำพรางที่ชุบตัวจากการเลือกตั้ง แต่ยังคงมีกลไกควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จผ่านกลไกสืบทอดอำนาจ ส.ว. 250 คนศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระรวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

แต่ตัวอย่างหนึ่งที่มีความแตกต่าง คือในมิติเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลต่อความยาก ง่ายในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร คนรุ่นใหม่ยุค 14 ตุลามีทางเลือกในการติดตามข่าวสารอย่างจำกัดเพราะเทคโนโลยีขณะนั้นมีเพียงวิทยุหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เท่านั้นซึ่งก็ไม่ได้มีอุปกรณ์เหล่านี้ครบทุกบ้าน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกควบคุมและกำกับโดยรัฐ

ในทางกลับกันคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันกลับมีช่องทางในการติดตามข่าวสารมากมายนับไม่ถ้วนเพราะการเติบโตของอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ทำให้รัฐไม่อาจควบคุมและจำกัดข้อมูลเนื้อหาได้ดังเช่นในอดีต

แม้ความแตกต่างระหว่างรุ่นเป็นเรื่องปกติ แต่จากโจทย์ปัจจุบันที่เป็นช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประชาธิปไตยไทยและที่มีการปะทะกันระหว่างระบบที่ล้าหลังและสังคมที่ก้าวหน้ามากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายและความตั้งใจของคนยุค 14 ตุลา มีภารกิจหลายส่วน ที่สอดคล้องกับความฝันของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน แต่ยังไม่สำเร็จถึงฝั่ง และยังต้องอาศัยพลังและเจตจำนงของคนทั้ง 2 รุ่น ในการร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป

โดยเป้าหมายที่หนึ่ง คือการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย – แม้เหตุการณ์ 14 ตุลาได้นำมาสู่รัฐธรรมนูญปี 2517 แต่กระบวนการจัดทำยังคงไม่ได้มีส่วนร่วมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเป็นฉบับที่มีอายุเพียง 2 ปี ก่อนถูกฉีกโดยคณะรัฐประหาร ปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ธรรมนูญปี 2560 ซึ่งถูกเขียนโดยคณะรัฐประหาร มีวัตถุประสงค์ในการสืบทอดอำนาจ และมีเนื้อหาที่ขัดกับหลักสากล จึงต้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ผ่าน สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

เป้าหมายที่สอง คือการขับเคลื่อนประชาธิปไตยในเชิงวัฒนธรรม ที่ไปไกลกว่าการกำจัดผู้นำเผด็จการ แม้ 14 ตุลาจะเป็นหมุดหมายสำคัญทางการเมืองไทยที่ภาคประชาชนรวมกันแสดงตัวเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล แต่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้เห็นว่าการตื่นตัวของประชาชนไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืนของประชาธิปไตยเสมอไป ตราบใดที่เรายังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แข็งแรงให้เกิดขึ้นในระดับความคิด และกำจัดวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ระบบราชการ ยันระบบการศึกษา เพื่อสร้างโครงสร้างและวัฒนธรรม ที่อยู่บนฐานของการไว้วางใจประชาชน

เป้าหมายที่สาม คือการปฏิรูปกองทัพให้เป็นของประชาชน ในการเคลื่อนไหวเมื่อ 49 ปีที่แล้ว ประชาชนมีความต้องการนำเผด็จการทหารออกจากการเมืองแต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ประเทศยังไม่ได้หลุดพ้นจากระบบการเมืองที่กองทัพเข้ามาแทรกแซงจนถึงยุคปัจจุบัน การปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลจึงเป็นวาระเร่งด่วน ตั้งแต่ การทำให้กองทัพแยกขาดจากการเมืองโดยการกำหนดไม่ให้นายพลเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีจนกว่าจะเกษียณไปแล้วหลายปี การลดบทบาทและอำนาจของสภากลาโหม การทำให้กองทัพโปร่งใสถูกตรวจสอบได้โดยประชาชน และการสร้างกองทัพที่เท่าทันกับโลก โดยไม่มีสิทธิพิเศษเหนือพลเรือน

เป้าหมายที่สี่ คือการทลายระบอบอุปถัมภ์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงก่อน 14 ตุลา ที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้กำมือของเครือข่ายสามทหาร และยังคงเป็นปัญหามาถึงยุคนี้ที่เต็มไปด้วยการบริหารราชการแบบรวมศูนย์ และการขยายตัวของกลุ่มทุนผูกขาด การวางโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มุ่งให้เกิดการแข่งขันโดยปราศจากระบบอุปถัมภ์ และการวางโครงสร้างทางการเมืองที่มุ่งกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงเป็นภารกิจที่ยังไม่เสร็จและต้องสานต่อในยุคปัจจุบัน

สรุปได้ว่าภารกิจทั้ง 4 ภารกิจนี้เป็นภารกิจสำคัญที่คนสองรุ่นมีร่วมกัน และเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยพลังของทุกรุ่นในการขับเคลื่อนให้สำเร็จ

“แต่นอกจากการสานต่อภารกิจที่มีร่วมกัน เรายังจำเป็นต้องทำให้ประเทศไทยคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของคนทุกรุ่น เพื่อเป็นสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกชุดความคิดที่แตกต่างกัน และโอบรับทุกความฝันที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวในการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยได้อย่างแท้จริง” นายพริษฐ์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend