POLITICS

’จุรินทร์‘ ย้ำจุดยืน แก้ รธน. ต้องไม่แตะหมวด 1 – 2 แนะ เห็นชอบร่างที่ระบุชัดเจน

’จุรินทร์‘ ย้ำจุดยืน แก้ รธน. ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แนะ เห็นชอบร่างที่ระบุชัดเจน หวั่น รับร่างอื่นไปเป็นหัวเชื้อแก้ในภายหลัง

วันนี้ (14 ต.ค. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่พรรคการเมือง 3 พรรคเสนอมา ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย โดยมี นายมงคล สุรัจสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในที่ประชุม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นร่วมอภิปรายว่า ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 60 บังคับใช้กินระยะเวลา 8 ปีเศษ มีความพยายามแก้ไขหลายครั้งแก้ทั้งรายมาตราและแก้ทั้งฉบับ ปี 64 โดยประมาณตนเองและพรรคประชาธิปัตย์มี และพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น มีการเสนอแก้ไขธรรมนูญ 6 ฉบับ เช่น มาตรา 256 เพื่อให้การแก้ไขธรรมนูญง่ายขึ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มาตรา 272 ยกเลิกอำนาจสมาชิกวุฒิสภาที่จะลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี

ในบรรดาการแก้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด ประสบความสำเร็จ บังคับใช้เพียงร่างเดียว คือการแก้ไขรูปแบบการเลือกตั้งจากบัตรใบเดียว เป็นบัตรสองใบที่ใช้อยู่จนถึงวันนี้ เหตุผลที่การแก้ไขธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่สำเร็จเป็นเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนไว้ให้แก้ยาก โดยปกติถ้าเสียงข้างมากของที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบเพียงการเมืองก็แก้ได้แล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติมนอกจากจะต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา แล้วยังต้องประกอบด้วยเสียงของฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และเสียงของวุฒสมาชิกไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 จึงเป็นสาเหตุให้การแก้ไขธรรมนูญทำได้ยากยิ่ง

หากติดตามสถานการณ์การเมืองตามลำดับจะเห็นว่าพรรคการเมืองกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในการหาเสียงและพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคหนึ่งที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น โดยพรรคเราไม่ให้ความเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และไม่เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาลที่กำหนดเงื่อนไขไว้ในเรื่องการดำเนินการให้ สว. เลือกนายกรัฐมนตรีได้ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และเมื่อประชาชนได้ลงประชามติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ก็ยอมรับในสิ่งที่ประชาชนเป็นคนตัดสิน ก่อนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนั้น ตนเองเป็นหัวหน้าพรรค ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ 3 ข้อ คือรัฐบาลต้องยึดความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารราชการแผ่นดินต้องนำนโยบายประกันรายได้เกษตรกรหรือเงินส่วนต่างที่จะช่วยเกษตรกรหากราคาเกษตรตกต่ำไปบรรจุเป็นนโยบายรัฐบาลและต้องสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2

การแก้ไขธรรมนูญในครั้งนี้ เหตุผลเพื่อตอบสนองต่อ MOA อันเป็นข้อตกลงระหว่างสองพรรคการเมือง แม้ประชาชนใหญ่อาจมีความรู้สึกและเห็นว่าการแก้ไขปัญหาปากท้องสำคัญกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน แต่เมื่อประธานรัฐสภาและพรรคการเมืองได้ยืนเข้าสภา เพื่อพิจารณา ก็เป็นหน้าที่สมาชิกในการพิจารณา โดยต้องพิจารณา 3 ร่าง สำหรับตนเองจุดยืนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีอะไรเปลี่ยนคือ เห็นว่าการแก้ไขธรรมนูญฉบับใหม่นั้นต้องไม่แตกหมวด 1 หมวด 2 โดยย้ำว่า ในหมวด 1 มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ มาตรา 2 ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 5 ที่ระบุไว้ในข้อความวรรคท้ายว่าเมื่อไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้กระทำการนั้น หรือวินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อความนี้มีปรากฏมาต่อเนื่องตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2492 จึงเป็นเหตุผลที่ตนเองเห็นว่าควรคงบทหนึ่งโดย มีมาตราห้าปรากฏยูเนียนด้วยเอาไว้และในการดำเนินการจัดตั้งสอสอในอนาคตก็ไม่ควรไปแตะหมวด 1

ส่วนหมวด 2 มี 19 มาตรา เป็นหมวดพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตนเอง และพรรคประชาธิปัตย์ แสดงจุดยืนมาตลอดว่า ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 และหมวด 2 โดยเด็ดขาดขาด แต่เมื่อพิจารณาทั้ง 3 ร่างนั้น ทุกร่างมีหลักการใกล้เคียงกัน หลักใหญ่คือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 156 และ 256 และเพิ่มหมวด 15 / 1 เพื่อเปิดทางให้มี สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เหมือนกัน

ร่างของพรรคเพื่อไทย ไม่มีบทบัญญัติห้ามแตะ หรือห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมวด 1 หมวด 2 ระบุไว้ เช่นเดียวกับร่างของพรรคประชาชน ส่วนร่างของพรรคภูมิใจไทย ระบุว่าการแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 จะกระทำไม่ได้ หากรัฐสภาวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ มีลักษณะเป็นการแก้ไขบทดังกล่าว ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นตกไป นี่คือความแตกต่างสำหรับ 3 ร่างที่เราต้องพิจารณาตัดสินใจ วันนี้รัฐสภาจะต้องพิจารณาลงมติในสองประเด็นหลัก คือ จะเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดบ้าง ถ้าแยกลงมติ และหากรวมลงมติจะกลายเป็นว่าจะเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา และการลงมติจะใช้ร่างใดเป็นหลักในการพิจารณาในวาระที่ 2 ในการเรียงลำดับมาตรา

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนเองขอยืนยันจุดยืนที่เคยยึดมั่นมาโดยตลอด และขอเพิ่มความเห็น และข้อเสนอแนะ 4 ข้อ ดังต่อไปนี้

1.ตนเองพร้อมสนับสนุนร่างแก้รัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้มี สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2

2.หากจะต้องลงมติว่าจะใช้ร่างใดเป็นหลัก ในการพิจารณาวาระ 2 ตนเองขอจะลงมติ ใช้เงื่อนไขเดิมคือต้องใช้ร่างที่ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เป็นหลักเพราะเป็นห่วงว่า ถ้าเราไม่ใช้ร่างที่ห้ามแตะหมวด 1 หมวด 2 เป็นหลัก อาจจะกลายเป็นหัวเชื้อ นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบปลายเปิด แล้วในที่สุด อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ได้ในอนาคต

3.การยกร่าง และการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะต้องไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของ สสร. เพื่อจะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ไม่เป็นหมันต่อไปในอนาคต

4.รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้ามี สสร. จะต้องยกร่างขึ้น ควรจะมีเจตจำนงในการส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตรา 160 (4) (5) ที่ระบุไว้ว่า ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจสำคัญ รวมทั้งรัฐมนตรี นอกจากจะต้องมีวัยวุฒิ และคุณวุฒิ ตามที่กำหนดแล้ว ยังต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงอีกด้วย เพื่อให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ สามารถสนองต่อ และคงมาตรฐานต่อผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และตำแหน่งสำคัญของประเทศไว้ได้ต่อไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนโดยรวม

Related Posts

Send this to a friend