POLITICS

’บอย ปกรณ์‘ ตัดขาด ผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป ยอมรับ เข็ดแล้ว ถือเป็นบทเรียนในการรับงาน

’บอย ปกรณ์‘ ตัดขาด ผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป ลั่น “อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” ไม่ขอตอบ ท่าที ‘บอสพอล‘ ร้องไห้กลางรายการดัง บอก ทำอะไรไปน่าจะรู้ตัว ยอมรับ หลังจากนี้เข็ดแล้ว ถือเป็นบทเรียนในการรับงาน

วันนี้ (14 ต.ค. 67) เวลา 14:40 น. ที่กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ นักแสดงชื่อดัง ให้สัมภาษณ์เปิดใจภายหลังเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กว่า 5 ชั่วโมง ระบุว่า ตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเท่าไหร่ แต่อาจจะโล่งใจมากขึ้นที่ได้เข้ามาชี้แจง และได้เข้าสู่กระบวนการในการตรวจสอบ ซึ่งตนได้ให้การไปตามข้อเท็จจริง พร้อมนำเอกสารมายืนยันกับตำรวจ ทั้งเอกสารสัญญาจ้าง ที่มีการระบุชัดเจนว่าเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งในเอกสารระบุไว้ว่า ค่าจ้างของตนได้มาจากอะไรบ้าง รวมถึงเอกสารยกเลิกสัญญา และยังมีเอกสารที่ตนนำมาแจ้งความร้องทุกข์กับบริษัท เช่น ภาพสื่อโปรโมทที่นำรูปภาพของตนไปใช้ประชาสัมพันธ์โดยที่ตนไม่รู้

นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนได้ประกาศผ่านทาง Instagram ส่วนตัว ให้ผู้เสียหายติดต่อผ่านตนเข้ามา จนถึงตอนนี้มีผู้เสียหายติดต่อเข้ามาแล้วกว่า 40 คน ซึ่งตนได้นำรายชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ของผู้เสียหายเหล่านี้ส่งให้ทีมของ นายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ไปแล้ว เพื่อให้ไปดำเนินการต่อ โดยยอมรับว่า รู้สึกผิด และเสียใจที่ตนมีส่วนทำให้เดือดร้อน ซึ่งวันนี้มีผู้เสียหายบางคนเดินเข้ามาขอบคุณตน แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่ารับคำขอบคุณนั้นไว้ไม่ได้ ตนต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษพวกเขา

เมื่อถามว่า นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือพอล CEO บริษัท The icon group ไปออกรายการดัง ได้ทราบแล้วหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ตนได้ดูบ้างในบางช่วง เพราะติดให้ปากคำกับตำรวจอยู่ ส่วนท่าทีของนายวรัตน์พลที่ร้องไห้กลางรายการจะเป็นการแสดงหรือไม่นั้น นายปกรณ์ ไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากก้าวล่วง และเราก็ไม่สามารถไปล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเขาได้ว่ามาจากใจจริงหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเขาทำอะไรลงไปก็น่าจะรู้ตัว พร้อมยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่ได้คุยกับใคร และไม่มีผู้บริหารในบริษัทคนไหนติดต่อมา รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่มีชื่อเป็นผู้บริหารในบริษัทก็ไม่ได้คุยกับใครเลย

ส่วนท่าทีของนักแสดงคนอื่น ๆ ที่เคยเข้าให้ปากคำกับตำรวจ ท่าทีเป็นอย่างไรนั้น ตนก็ไม่ขอพูดถึง ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินเองดีกว่า และเชื่อว่าทุกคนคงจะดูออกว่าอะไรเป็นอะไร ขอให้ทุกคนเป็นคนตัดสินดีกว่า

ส่วนที่มีดารา และนักแสดงคนอื่น ๆ เริ่มออกมาแสดงตัวว่าเคยร่วมงานกับบริษัท The icon group นั้น นายปกรณ์ มองว่า มีหลายคนที่เคยตกอยู่ในสถานะเดียวกับตนที่ทำไปโดยไม่รู้ ถ้าทุกคนได้ออกมาชี้แจงก็คิดว่าน่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เสียหาย จึงอยากให้ออกมาเข้าสู่กระบวนการดีกว่า

สำหรับการที่ตนมาแจ้งความกับบริษัท The icon group ในวันนี้นั้น ตนได้พูดคุยกับตำรวจในการเอาผิดบริษัทที่ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจของบริษัท ทำให้ตนเข้าใจผิด และทำให้ตนมีส่วนร่วมทำให้คนอื่นเดือดร้อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย และหลังจากวันนี้ตำรวจจะประสานนัดหมายตนเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง

นายปกรณ์ ยอมรับว่า เมื่อเจอเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ก็ต้องเข็ดกันทุกคน ต่อให้เช็กจนรอบคอบแล้วแต่ก็ยังพลาดได้ ถือเป็นบทเรียนในครั้งถัดไปที่ต้องตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วนมากกว่านี้ อะไรที่ใกล้เคียงกับธุรกิจแบบนี้ก็ต้องเลี่ยงไปเลย

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ความสัมพันธ์ของนายปกรณ์กับนายวรัตน์พลจะถือว่าตัดขาดกันเลยหรือไม่ นายปกรณ์ เผยว่า ถ้าเป็นดารานักแสดง ตนขอไม่ก้าวล่วง และเชื่อว่าทุกคนจะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย แต่ในส่วนของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ขอพูดตรงนี้ว่า “มาถึงตอนนี้ก็เพิ่งรู้ว่าทุกคนทำอะไรลงไป ทุกคนทำอะไรไว้ก็ต้องรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทุกคนทำมันสบายบนความเดือดร้อนของคนอื่น ซึ่งตนก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเขา แต่ขออย่ามารู้จักกันอีกเลย และที่ผ่านมาเราอาจจะบังเอิญเจอกันตามงานต่างๆ แต่ต่อจากนี้อย่ามายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกเลย ยิ่งตนมารู้ว่าพวกเขาทำอะไรแบบนี้ไว้”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การที่ออกมายอมรับว่ามีส่วนทำให้เกิดความเสียหาย กังวลว่าจะถูกเอี่ยวไปด้วยหรือไม่ นายปกรณ์ เชื่อว่า การที่จะออกมาหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลต่อกระบวนการทางกฎหมาย ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด หน้าที่ของตนมีเพียงการออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง และช่วยรับผิดชอบในส่วนที่ตนสามารถทำได้

ในช่วงท้าย นายปกรณ์ ยังได้ฝากเตือนว่าในปัจจุบันมีธุรกิจในลักษณะแบบนี้ จึงควรที่จะต้องศึกษาและตรวจดูประวัติให้ดี ซึ่งบางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้อง หากรู้สึกว่ามีความใกล้เคียงกับกรณีนี้ ถ้าเลี้ยงได้ก็อยากให้เลี่ยง อย่ามาเสี่ยงกับอะไรแบบนี้เลย

Related Posts

Send this to a friend