POLITICS

‘วิโรจน์’ จี้ทบทวนงบพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า บานปลาย ขยายกรอบวงเงินผูกพันต่อเนื่อง ไม่รู้จบ

‘วิโรจน์’ จี้ทบทวนงบพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า บานปลาย ขยายกรอบวงเงินผูกพันต่อเนื่อง ไม่รู้จบ ชี้ขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ขอลด 15% เพื่อให้สอดคล้องตามหลักการ

วันนี้ (14 ส.ค. 68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2 – 3

นายวิโรจน์ ลักคณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า โครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่า เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก โครงการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช. ให้ดำเนินการก่อสร้างด้วยกรอบวงเงิน 2,456 ล้านบาท โดยผูกพันงบประมาณตั้งแต่ปี 2557 – 2560 ควรจะต้องจบไปตั้งนานแล้ว แต่เดิมโครงการนี้กำหนดพื้นที่ก่อสร้างอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก ที่เขตดุสิต บนเนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ ต่อมาโครงการนี้ควรจะจบ กลับไม่จบ ได้มีการย้ายพื้นที่ก่อสร้างไปยังเขตวังทองหลาง บนที่ดิน 79 ไร่ 2 งาน 60.9 ตารางวา และเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 ครม. มีมติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของโครงการนี้เป็น 6,284 ล้านบาท พร้อมขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณออกไปจนถึงปี 2566 และจนถึงปัจจุบันก็ยังคงขยายระยะเวลาก่อหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการผูกพันข้ามปีงบประมาณเท่านั้น แต่ยังบานปลายจนไม่อาจคาดได้ว่าจะสิ้นสุดในปีงบประมาณใด

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากโครงการนี้จัดสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติ การพิจารณาด้านการจัดการงบประมาณ จึงควรยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว แต่เมื่อพิจารณาตัวเลขแล้ว ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับโครงการนี้ เคยสอบถามไปยังสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการประชุมคณะกรรมาธิการที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง ว่าการใช้งบประมาณขนาดนี้ ไม่จบไม่สิ้น บานปลายต่อเนื่อง ในอนาคตยังจะกล้านำพื้นที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ไปใช้จัดนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างไร แต่ตนเองก็ไม่ได้รับคำตอบ

ในปีงบประมาณ 2569 สำนักปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ ได้แจ้งวงเงินที่ต้องใช้ในโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ระยะที่ 3 ของโครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าจำนวน 401,657,100 บาท โดยการปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งนี้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ งบประมาณจำนวนดังกล่าว แบ่งออกเป็นงบงานระบบประกอบอาคารและงานระบบภายนอก 105 ล้านบาท และงบงานระบบต่อเนื่องจากระยะที่ 2 ประมาณ 28 ล้านบาท โดยเมื่อดูแล้วจะพบว่างบปรับภูมิทัศน์อย่างเดียวถูกจัดไว้ถึง 267 ล้านบาท เฉลี่ยสูงถึง 5,575 บาทต่อตารางเมตร โดยปกติงานปรับภูมิทัศน์จะมีต้นทุนต่ำกว่านี้มาก พร้อมยกตัวอย่างสวนเบญจกิตติงบประมาณที่ใช้เพียง 2,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น งานที่หรูหราที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเกิน 3,000 บาทต่อตารางเมตร จึงตั้งคำถามว่านี่คือหลักการเศรษฐกิจพอเพียงจริงหรือไม่ ดังนั้น งบประมาณ 5,575 บาทต่อตารางเมตรในโครงการนี้ จึงจำเป็นต้องตั้งคำถามร่วมกันว่า ไหนคือความพอประมาณ ความมีเหตุผล และภูมิคุ้มกันที่ดี ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุล ที่ต้องมีภาระดอกเบี้ยจ่าย แต่กลับนำมาใช้กับโครงการที่สุรุ่ยสุร่าย แทนที่จะนำไปพัฒนาประเทศแก้ไขปากท้อง ไปดูแลสวัสดิการให้กับประชาชน งบปรับปรุงภูมิทัศน์แบบนี้ไม่สามารถอธิบายได้บนพื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้เลยแม้แต่น้อย

หากยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อน อัตรา 3,000 บาทต่อตารางเมตร ก็ถือว่าแพงที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ที่ 144 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับงานระบบงบรวมของโครงการนี้ทั้งหมดที่สมเหตุสมผล และพอจะเป็นไปได้จึงควรอยู่ที่ 278 ล้านบาท ไม่ใช่งบประมาณกว่า 400 ล้านบาทที่สำนักปลัดกระทรวงเกษตรเสนอมา ไม่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเลย หรือยึดแต่ปากเท่านั้น

ดังนั้น งบ ปี 69 และผลักมาที่ปี 70 ไม่สมเหตุสมผล ไม่ตรงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงควรลดลงมา 15% ซึ่งในชั้นกรรมาธิการกลับปรับลดเพียงแค่ 7 ล้านบาทเท่านั้น จึงขอเสนอให้ปรับลดเพิ่มเติมอีก 11 ล้านบาทเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อให้โครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่า เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเป็นประโยชน์ของแผ่นดินสมชื่อจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้รับเหมาไม่กี่ราย

Related Posts

Send this to a friend