POLITICS

‘ปดิพัทธ์’ ชี้ กรณีห้องหลังบัลลังก์จบแล้ว ส่วนเรื่องยุบพรรคก้าวไกล มองว่าเร็วเกินไปที่จะพูด

‘ปดิพัทธ์’ ชี้ กรณีห้องหลังบัลลังก์จบแล้ว มีสัญญาณดีในการปฏิบัติตามระเบียบ เผย เรื่องยุบพรรคก้าวไกล มองว่าเร็วเกินไปที่จะพูด

วันนี้ (14 มี.ค. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงกรณีห้องหลังบัลลังก์ ที่มีการทวงถามกันถึงในที่ประชุมเมื่อวานนี้ว่ามีการเคลียร์ปัญหากันจบแล้วหรือยัง นายปดิพัทธ์ กล่าวว่าขณะนี้ระเบียบการให้ห้องดังกล่าวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยเป็นอำนาจของฝ่ายผู้จัดการประชุมว่าใครบ้างที่จะเป็นผู้สามารถใช้ห้องได้ หรือหากเป็นการใช้ห้องในกรณีอื่นๆ ก็เป็นไปตามอำนาจของประธานสภาฯ ตอนนี้หากทางพรรคพลังประชารัฐได้ย้ายออกไปแล้ว แล้วหลังจากนี้ยังพบว่าห้องยังไม่พอต่อการรับรองผู้ใช้งาน ค่อยมาสื่อสารกันอีกที ถือว่าเป็นสัญญาณดีว่ามีการปฏิบัติตามระเบียบที่ออกมา

ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของสองฝ่ายที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ระหว่างวิปฝ่ายค้าน และพรรคพลังประชารัฐ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่าตนเองคงไม่ได้ไปร่วมในการประชุมวิป เพราะตนเพียงเป็นคนที่ทำหน้าที่ดูแลให้ทุกอย่างให้เรียบร้อยในการประชุม แต่หากจะมีการประนีประนอมก็เป็นสิทธิ์ของทางสมาชิก เพียงแต่อย่าให้กระทบการประชุมก็พอ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการทวงถามในเรื่องนี้กันอีกครั้งหรือไม่ นายปดิพัทธ์ ตอบว่า ไม่มีแล้ว ตนเองมองว่าเสียเวลาสภาฯ อย่างมาก

ส่วนเรื่องการเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่นายประดิพัทธ์เป็น 1 ใน 10 คณะกรรมการบริหารพรรค ขณะที่มีการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเมื่อศาลพิจารณาแล้ว อาจจะมีสิทธิ์ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีได้นั้น นายปดิพัทธ์มองว่าเรื่องนี้เร็วเกินไปที่จะมาคุยเรื่องของการยุบพรรค ณ วันนี้ สิ่งที่ต้องตั้งหลักก่อน คือหลักนิติธรรม นิติรัตน์ ของประเทศนี้เป็นอย่างไร และการยุบพรรคทำไมถึงมองว่าเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นหากเอาเวลาไปทุ่มเท เสียเวลาอยู่ว่าทำไมถึงยุบพรรค ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เสียสมาธิทำงาน พร้อมบอกว่าตอนนี้เดินหน้าทำงานเต็มที่ รู้ข้อจำกัดของกฎหมาย จะใช้เวลาเวลาที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวให้ดีที่สุดเท่านั้นเพียงพอแล้ว ในที่สุดหากวินิจฉัยออกมาแบบนั้นจริงๆ เดี๋ยวเราค่อยมาเตรียมตัวกัน

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีที่มีการวิเคราะห์กันว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ต้องไต่สวนสามารถใช้คำวินิจฉัยในครั้งที่แล้วได้เลยนั้น มองอย่างไรบ้าง นายปดิพัทธ์ ถามกลับว่า ศาลที่ไม่ต้องไต่สวนคือศาลอะไร ตนเองมองว่าศาลที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง หากระบบศาลของเราไม่เปิดให้มีการชี้แจง ตนเองมองว่าคงต้องตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้น การจะกล่าวหาในข้อหาที่รุนแรง และเป็นข้อกล่าวหาที่พิสูจน์ด้วยหลักฐาน แต่เป็นการกล่าวหาว่าพวกเราล้มล้างการปกครองและบอกว่าไม่ต้องชี้แจง และให้ผิดทันที ตนเองมองว่าเรื่องนี้ทั้งประชาคมโลก และสังคมไทยคงมีคำถามกลับไปยังกระบวนการยุติธรรมมากมาย

Related Posts

Send this to a friend