นายกฯ รับ ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการศึกษา ชี้ ต้องปรับหลักสูตรให้เหมาะกับตลาดแรงงาน
นายกฯ รับ ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการศึกษา ชี้ ต้องดึงเด็กกลับสู่ระบบก่อน ปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับตลาดแรงงาน ฝากเอกชน ขึ้นค่าแรง ไม่ทำให้เกิดหายนะ แต่ส่งผลดีกับประเทศ
วันนี้ (13 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมเสวนางาน “Dailynews Talk 2023 คนไทยถาม นายกเศรษฐาตอบ” โดยได้ตอบคำถามกรณีที่ประเทศไทยกำลังเผชิญเรื่องการศึกษา หลังผลสอบ PlSA ของนักเรียนไทยประจำปี 2022 ออกมาต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี และรัฐบาลจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
นายเศรษฐา กล่าวว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาที่สะสมมานาน กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงที่มีงบประมาณสูง แต่ยังมีเรื่องของเงินเดือนครูประมาณ 70% ถึง 80% งบในการพัฒนาการศึกษามีน้อยมาก ตรงนี้เราต้องมาเริ่มต้นต่อว่าอย่างไรก็ตาม เราจะต้องทำให้ได้ในงบประมาณที่มีอยู่ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องของการมีหลักสูตรที่เหมาะสมในการที่จะตอบโจทย์แรงงานที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงไป
รวมถึงเรื่องภาษาอังกฤษเองที่เราก็ตกต่ำไปกว่าหลายประเทศในอาเซียน ต้องดูที่หลักสูตร และนำมาพัฒนาอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความต้องการแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยก็มีความเปลี่ยนแปลงในแง่ของแรงงาน ตรงนี้เราต้องมาดูกันว่าการศึกษาของไทยตอบโจทย์แรงงานที่เขาต้องการหรือไม่ เชื่อว่าไม่เป็นปัญหาที่ง่ายต้องใช้เวลาในการค่อย ๆ พัฒนาไป
สำหรับแผนการแก้ไขปัญหา นายเศรษฐา ระบุว่า เราได้มีการพูดคุยกัน และมีการทำเวิร์คช็อปอย่างจริงจังว่าในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว การศึกษาไทยต้องเดินไปอย่างไร และภาคส่วนไหนที่ต้องมีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จุดเริ่มต้นจริง ๆ มันไม่ใช่แค่สกอร์ที่เราได้เห็นกันอยู่ แต่มันเป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ และความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งการศึกษา เพราะเป็นเรื่องของสถานะ ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่รัฐบาลทำได้ ให้นำคนที่หลุดออกนอกการศึกษาเข้ามาในระบบการศึกษาได้ก่อน
ส่วนเรื่องเงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรี 25,000 บาท จะเริ่มได้เมื่อไหร่ และมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องเงินเดือนขั้นต่ำ ปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 บาทมาหลายปีแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ประกาศไปชัดเจนว่าจะขึ้นอย่างไร คาดหวังว่าภายใน 4 ปีจะขึ้นไปถึง 25,000 บาท ถือว่าพอประกาศออกไปก็ได้รับการยอมรับที่ดีพอสมควร
“คิดว่าเป็นมาตรฐานที่ดีในการที่ภาคเอกชนจะนำไปปฏิบัติ และขึ้นค่าจ้างให้คนไทยมีรายได้ที่เหมาะสม มีศักดิ์ศรีในการที่จะไปทำงาน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บางพื้นที่ค่าแรงขึ้นมาไม่กี่บาท ตนเองขอใช้พื้นที่สื่อถึงปัญหาที่ลึกกว่านั้นคือปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม และความแตกแยก จะอ้างเรื่องมติคณะกรรมการไตรภาคี หรือนายกไม่มีอำนาจในการแทรกแซงคุณจะพูดอะไรคุณพูดได้หมด แต่เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงดีกว่า พร้อมเชื่อว่าถึงจุดหนึ่งก็เป็นที่พอใจของภาคธุรกิจได้เป็นขวัญ และกำลังใจในการที่พวกเขาเหล่านั้นจะคืนความชอบธรรมให้กับประชาชน ที่เป็นฐานรากของการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ฉะนั้นตรงนี้ตนเชื่อว่าอยากให้เราออกมาพูดกันให้เสียงดังขึ้น
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ผมได้แต่ฝากความหวังฝากไปยังภาคธุรกิจว่าการขึ้นค่าแรงออกไปอีกนิดนึง ไม่ทำให้ท่านเกิดหายนะหรอกแต่มันจะส่งผลในมิติบวกมากกว่า ถ้าท่านสามารถทำให้มันเหมาะสมได้ พูดคุยกันด้วยวาจาที่มันรับกันได้ในจำนวนเงินที่มันสามารถเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้ ไม่ใช่เข้ามาวันแรกเราประกาศขึ้นค่าแรง ซึ่งรัฐบาลนี้ทำอย่างเต็มที่ฉะนั้นสิ่งที่เราขอคือขอให้ภาคเอกชนดูแลประชาชนให้สมเกียรติสมศักดิ์ศรีในการที่ เขาจะเดินออกไปทำงานตอนเช้าแล้ว กลับบ้านมาตอนเย็นมีอาหารการกินที่เหมาะสมอยู่บนโต๊ะ