POLITICS

พรรคประชาชน กระทุ้งรัฐบาล เร่งทบทวนแนวทางบริหารจัดการน้ำท่วม

พรรคประชาชน กระทุ้งรัฐบาล เร่งทบทวนแนวทางบริหารจัดการน้ำท่วม หลังบางพื้นที่น้ำท่วมสูงนานกว่า 4 เดือน เรียกร้องชี้แจงการตัดสินใจแผนระบายน้ำ พร้อมปรับแก้การชดเชยเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม

วันนี้ (13 พ.ย. 68) เดชรัต สุขกำเนิด ที่ปรึกษาผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต พร้อมด้วย ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 พรรคประชาชน และ สุรพันธ์ ไวยากรณ์ สส.นนทบุรี เขต 1 พรรคประชาชน ร่วมแถลงข้อเสนอถึงรัฐบาลเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำท่วมพื้นที่ภาคกลาง

สำหรับสถานการณ์น้ำปีนี้ ปริมาณน้ำฝนปี 2568 พื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของภาคกลาง มีมากกว่าปีปกติประมาณ 15% และมีฝนตกหนักมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ดี ความเดือดร้อนของประชาชนต่อเนื่องยาวนานเกือบ 4 เดือน สะท้อนว่ารัฐบาลควรต้องทบทวนอย่างจริงจัง และแก้ไขอย่างเร่งด่วนใน 5 ประเด็นด้วยกัน

1.ทบทวนแนวคิด ‘ท่วมในทางก่อนท่วมในทุ่ง’ รัฐบาลปรับเปลี่ยนแนวทางการระบายน้ำช่วงน้ำหลาก จากเดิมนำน้ำเข้าทุ่งเจ้าพระยาตอนล่างทั้ง 10 ทุ่ง ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนของแต่ละปี (หลังการเก็บเกี่ยวข้าว) มาเป็นการให้น้ำเอ่อล้นตลิ่ง และท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำแทน ส่วนการให้น้ำเข้าทุ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยเหตุผลที่รัฐบาลเปลี่ยนเพราะเห็นว่าการระบายน้ำออกจากทุ่งรับน้ำในช่วงน้ำลดทำได้ช้ากว่าการระบายน้ำในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวทำให้น้ำที่เอ่อล้นตลิ่งไม่สามารถแผ่ไปสู่ทุ่งต่าง ๆ ได้ตามธรรมชาติ ค้างอยู่ในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำ และเมื่อมีการเพิ่มการระบายน้ำ ก็ยิ่งยกระดับน้ำที่ท่วมในพื้นที่นอกแนวคั้นกันน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนริมน้ำดั้งเดิม กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมสูงขึ้นและนานขึ้น กลายเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลเปิดประตูระบายน้ำเพื่อนำน้ำเข้าทุ่ง

พรรคประชาชนเสนอให้รัฐบาลทบทวนแนวคิดดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ในระยะสั้น 3 ข้อ

ข้อ 1 ควรพิจารณาลดปริมาณน้ำสูงสุดที่ระบายลงสู่พื้นที่เสี่ยง โดยตัดยอดน้ำลงสู่พื้นที่ทุ่งรับน้ำที่ยังมีศักยภาพในการรับน้ำได้อีกประมาณร้อยละ 10 ของความสามารถในการรองรับน้ำของพื้นที่ดังกล่าว

ข้อ 2 ควรยกระดับการแจ้งเตือนการระบายน้ำล่วงหน้า 24 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และไม่ใช่เฉพาะการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเท่า แต่รวมถึงการระบายในคลองและในทุ่งในแต่ละจุด

ข้อ 3 รัฐบาลต้องเพิ่มความเข้มข้นในการสื่อสารเชิงรุก ให้ประชาชนเข้าใจว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใดบ้าง เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบสะท้อนความเดือดร้อนและเสนอความเห็นในการบริหารจัดการน้ำ นอกจากนี้ ควรตอบคำถามถึงการไม่ระบายน้ำไปยังบางจุด

ระยะยาว ในสถานการณ์ที่น้ำท่วมสูง รัฐบาลควรระบายน้ำเข้าทุ่งตามกรอบเวลาและตามเกณฑ์การระบายน้ำที่กำหนด โดยจ่ายค่าชดเชยการเสียโอกาสให้แก่เจ้าของพื้นที่ในทุ่งรับน้ำตามสมควร

2.ทบทวนแนวทางการเยียวยา แม้ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัย วงเงิน 6,169.986 ล้านบาท ช่วยเหลือเหมาจ่ายอัตราเดียวครัวเรือนละ 9,000 บาท สำหรับที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน (หรือไม่เกิน 7 วันแต่บ้านเรือนเสียหาย) แต่การกำหนดเกณฑ์การเยียวยาที่เป็นอัตราเดียวไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาความเสียหายที่แตกต่างกัน ระหว่างน้ำท่วม 7-8 วัน กับ 3-4 เดือน ฉะนั้น ควรปรับแก้ชดเชยเยียวยาพื้นที่ที่น้ำท่วมนาน เช่น 9,000 บาท/เดือน

ระยะยาว รัฐบาลควรปรับปรุงเกณฑ์การจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำท่วมรูปแบบต่าง ๆ

3.ทบทวนการดูแลความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย แม้รัฐบาลพยายามพัฒนาระบบเตือนภัยได้ดีขึ้น แต่การเผชิญเหตุสำหรับผู้ที่ต้องประสบภัยกลับแทบไม่ได้รับการพัฒนา สิ่งที่ควรปรับปรุงคือการกำหนดมาตรฐานการดูแลผู้ประสบภัยที่เพียงพอ โดยสนับสนุนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ

4.การฟื้นฟูชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำในระยะยาว เสนอให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูและวางแผนรับมือสำหรับชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ ทั้งในระยะสั้น เช่น ซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่เสียหายโดยเร่งด่วน การจัดเตรียมศูนย์พักพิงสำหรับผู้อพยพ และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเผชิญเหตุ ส่วนระยะยาว ควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการยกระดับบ้านให้พ้นจากระดับน้ำท่วมสูงสุด การจัดระบบสาธารณูปโภคใหม่รองรับภาวะน้ำท่วมสูงและยาวนาน บางพื้นที่ต้อเสริมแนวคันกั้นน้ำริมตลิ่งริมน้ำให้สูงขึ้น

5.ทบทวนความเป็นไปได้ในการทำโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ หลังส่อไม่เสร็จตามแผน เสนอให้รัฐบาลทบทวนความเป็นไปได้ในการดำเนินการโครงการ แผนการลงทุนจะดำเนินการตั้งแต่ปีใด เสร็จสมบูรณ์เมื่อใด และหากเป็นไปไม่ได้แล้ว จะมีแนวทางหรือโครงการใดทดแทน

Related Posts

Send this to a friend