‘ชวน’ ย้ำ เป็นฝ่ายบริหารต้องซื่อสัตย์สุจริต ไม่แต่งตั้งข้าราชการด้วยราคา
‘ชวน’ บอก ทุกรัฐบาลถวายสัตย์เหมือนกัน แล้วทำไม “มีอันเป็นไป ต้องติดคุก หนีคดี” เพราะปฏิญาณไปแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ ย้ำ เป็นฝ่ายบริหารต้องซื่อสัตย์สุจริต ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ ไม่แต่งตั้งข้าราชการด้วยราคา อาจได้คนไม่ดีมาช่วยงาน
วันนี้ (13 ก.ย. 67) ในการประชุมร่วมรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายถึงนโยบายของรัฐบาลว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน ปี 2566 ตนเองได้อภิปรายนโยบายของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ในเรื่องของภาคใต้
“ขณะนั้นพูดในฐานะฝ่ายค้าน แต่วันนี้พูดในฐานะรัฐบาล แต่ไม่ว่าผมจะอยู่ในพรรคไหนก็ตาม ความจริงก็คือความจริง ความจริงไม่อาจจะเปลี่ยนไปตามฐานะ จะเป็นอะไรก็ต้องเป็นความจริง ดังนั้นข้อมูลที่จะพูดถึงกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขอย้ำว่า ในครั้งนั้นผมต้องการให้รัฐบาลบรรจุปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ติดขัดที่ขณะนั้นนโยบาย 14 หน้าของรัฐบาลไม่มีเรื่องนี้อยู่เลย” นายชวน กล่าว
นายชวน กล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลได้บรรจุเรื่องไว้ในหน้าที่ 12 แม้จะเพียง 1 บรรทัด ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญ และมีโอกาสได้ติดตามการทำงานต่อไป แต่เหตุที่ตนเองหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะตนเองถือหลักว่า “ชีวิตมีค่ามากกว่าเงิน เราจะผิดพลาดนโยบายเศรษฐกิจ เสียเงินกี่หมื่นแสนล้าน ไม่เท่าชีวิตคน 7,500 กว่าคนที่เสียไปจากความผิดพลาดนโยบายด้านความมั่นคง” ตนจึงได้ย้ำเรื่องนี้เป็นพิเศษ
นายชวน ย้ำว่าแล้วการที่จะทำให้สำเร็จในการแก้ปัญหาได้ เราต้องยอมรับความจริงว่าเหตุทั้งหมดเกิดจากอะไร เช่น เหตุการณ์เมื่อ 8 เมษายน 2544 โชคดีที่เรามี สว. ท่านหนึ่งเป็นอดีตรองแม่ทัพภาค 4 ด้วย น่าจะเป็นประโยชน์ในการให้ข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายอารัมภบทไว้ตอนต้นว่า ต้องการเห็นความสามัคคี และปรองดอง ซึ่งตนก็เชื่อว่าไม่มีใครไม่เห็นด้วย แต่จะเกิดความสามัคคีปรองดองได้ สำคัญคือต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ จึงได้ย้ำตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วว่า กรุณาชดเชยกรณีที่เลือกปฏิบัติจนเสียโอกาส ขอให้รัฐบาลทบทวนความขุ่นข้อง และขัดแย้งอันเกิดจากความไม่เสมอภาค
นายชวน ได้หยิบยกบทหนึ่งของคำแถลงนโยบายว่า “พร้อมนำพระราชดำรัสมาปรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน” ซี่งพระราชดำรัสที่ทรงพระราชทานคือ ‘ขอให้พรด้วยความยินดี ให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจ มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ถวายสัตย์ไปแล้ว เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน
สำหรับคำถวายสัตย์นั้น นายชวนแบ่งประเด็นออกเป็น การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ที่ความหมายไปถึงว่า เมื่อรัฐมนตรีเข้าบริหารประเทศ มีข้าราชการรองรับอยู่ในแต่ละหน่วยงาน เราต้องให้เกียรติข้าราชการ เพราะเขาไต่เต้าจากระดับเล็กมาระดับสูงโดยลำดับ เราต้องให้เกียรติข้าราชการ ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตในการแต่งตั้งข้าราชการต้องไม่เอาตำแหน่งมาเป็นราคา
“ผมจะฝากว่า ในฐานะนักการเมืองฝ่ายบริหารนั้น เราจะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล คือหลักคุณธรรมจริยธรรม ให้โอกาสคนเหล่านั้นขึ้นมาด้วยความสามารถ ไม่ใช่ด้วยราคา ไม่เช่นนั้น เราจะได้คนไม่ดีมาทำงานกับเรา เราจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อได้คนดีช่วยงาน” นายชวน กล่าว
ประเด็นต่อมา คือ การปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน แต่ในขณะนี้ระบบการปกครองของเรามีข้อหย่อนยาน ทำให้เกิดความรู้สึกต่อระบบนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ แต่ประหนึ่งว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา จึงขอฝากคณะรัฐมนตรีให้แปลความนี้ให้ชัดเจนว่า การบริหารไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองหรือเขตเลือกตั้งของท่าน แต่ต้องคิดถึงประโยชน์ของประเทศ และประชาชน องค์กรใดที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศ จะต้องไม่รับใช้พรรคการเมือง และนักการเมือง แต่ต้องรับใช้ผลประโยชน์ของประเทศชาติ
สุดท้าย คือเรื่องการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ นายชวนกล่าวว่า หลักนิติธรรมเป็นหัวใจของการปกครอง ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากเรายึดหลักนิติธรรมตั้งแต่ต้น ปัญหาก็จะไม่เกิด แต่บังเอิญช่วงหนึ่งเราใช้ฝ่ายบริหารเป็นศาล คือตัดสินว่าคนตายเดือนละกี่คน จึงเป็นที่มาของทุกวันนี้ และย้ำว่า หากยึดมั่นในหลักนิติธรรมแล้ว จะไม่มีเหตุการณ์ใดเป็นพิษภัยต่อประชาชน
“คำถามคือ การปฏิญาณตนดังที่กล่าวมานี้ รัฐบาลก่อนๆ ไม่ปฏิญาณหรือ ข้อความไม่เหมือนกันหรือ รัฐธรรมนูญปี 2540 2550 2560 ข้อความปฏิญาณเหมือนกัน รัฐบาลทุกชุดต้องปฏิญาณ แล้วทำไมปฏิญาณแล้วถึงมีปัญหา มีอันเป็นไป ถูกดำเนินคดี ต้องหนีคดี ถูกจำคุก เพราะอะไร คำตอบก็คือ แม้ปฏิญาณไปแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ” นายชวนกล่าว
นายชวน กล่าวอีก สิ่งนี้จะทำให้นโยบายของรัฐบาลประสบความสำเร็จ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของพรรคการเมือง ก็ต่อเมื่อปฏิบัติด้วยการยึดหลักว่า ความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เคารพหลักนิติธรรมอันเป็นหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย












