‘สุทิน’ เผย เข้ากระทรวงวันแรก ปรับขนาดกองทัพให้ทันสมัย
เพิ่มภารกิจด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ผุด กองทัพไซเบอร์เป็นกองทัพที่ 5 ขยายการคุ้มครองนักลงทุน จ่อดันช่วยทหารเกณฑ์รับเงิน 1 หมื่นบาทเต็ม หวังสร้างแรงจูงใจ นำไปสู่การลดการเกณฑ์ทหารภายในอายุรัฐบาล
วันนี้ (13 ก.ย. 66) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวหลังรับฟังการบรรยายสรุปภารกิจกระทรวงกลางโหม และมอบนโยบายให้กับข้าราชการ ระบุว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เข้าทำงาน รู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ ซึ่งคิดว่าเป็นประเพณีธรรมเนียมของกองทัพที่ได้ต้อนรับ และเชื่อว่าเป็นการต้อนรับที่สมบูรณ์ พร้อมขอบคุณกองทัพที่ให้การต้อนรับกันอย่างอบอุ่น
นายสุทิน เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้พูดคุยถึงแนวทางในการทำงาน และนโยบายที่รัฐบาลอยากจะทำ ซึ่งขยายจากที่พูดไปในสภาเมื่อวานนี้ว่า เป้าหมายที่ตนมาทำงานที่กระทรวงกลาโหม เพราะเราอยากทำให้กองทัพทันสมัยในหลายอย่าง ทั้งเรื่องขีดความสามารถทางศักยภาพของกองทัพ ไม่แพ้ชาติอื่น รวมถึงมีขนาดกองทัพที่ทันสมัยพอเหมาะ ซึ่งอาจจะมีขนาดลดลง แต่ศักยภาพจะต้องไม่ลด และเรื่องภารกิจของกองทัพ ที่จะต้องทบทวนภารกิจให้สอดคล้องกับยุคสมัย เดิมทีเรื่องการรบกองทัพก็ทำมาด้วยดี โดยภัยความมั่นคงตอนนี้ก็มาในรูปแบบใหม่ ซึ่งสภาความมั่นคง และกองทัพตระหนักในเรื่องนี้ดีว่ามีรูปแบบไหน
แต่อีกภารกิจที่รัฐบาลขอให้กองทัพเพิ่มภารกิจนี้ คือภารกิจภัยความยากจน คือการจะต้องสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งตนมองว่ากองทัพมีศักยภาพที่จะทำ หรือช่วยกระทรวงอื่นๆ ได้ คือการเอาความรู้ความสามารถมาช่วยกระทรวงอื่น หรือขยายภารกิจให้ออกไปช่วยสังคมมากยิ่งขึ้น โดยแนวปฏิบัติที่จะได้เห็นคือ ตนจะมอบหมายให้กองทัพไปช่วยงานพัฒนามากขึ้น เช่น กองพลพัฒนาหรือทหารช่าง ซึ่งงานที่มอบหมายให้กองทัพ ทุกวันนี้กองทัพก็ทำอยู่ แต่ต้องทำให้มากกว่าเดิม คือการให้กองทัพออกไปช่วยงานในด้านอื่นมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ จะต้องทำให้เป็นระบบ และมีตัวชี้วัดที่มากขึ้น
สำหรับทรัพยากรที่กองทัพจะไปช่วยเหลือภัยความยากจนได้ คือที่ดินของกองทัพ โดยมีที่ดินอยู่ 2 ประเภท คือที่ดินทางยุทธศาสตร์ และที่ดินว่างเปล่าหรืออยู่นอกเขตที่ไม่จำเป็นต้องใช้มาก ก็ขอให้กองทัพแบ่งออกมาทำประโยชน์ เช่นการทำแหล่งน้ำ, แหล่งผลิตพลังงานโซล่าเซลล์ผลิตพลังงานช่วยชุมชน หรือการทำมาหากินโดยตรง ซึ่งกองทัพก็รับนโยบาย และจะรีบไปพูดคุยว่าตรงไหนสามารถทำให้ได้ และอาจจะติดขัดกับกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำ เป็นทรัพยากรอันนึงที่จะช่วยแก้ปัญหาความยากจน และยกคุณภาพชีวิตชาวบ้าน
ต่อมาคือโรงพยาบาลทหาร ที่จะต้องมีส่วนให้กับประชาชนมากขึ้น ซึ่งในยามสงบแบบนี้กองทัพก็พร้อมยินดี ที่จะจัดโซนให้กับประชาชนช่วยชาวบ้านให้มากขึ้น โดยในบางเรื่องบางอย่างเราก็เติมงบประมาณในส่วนนี้เข้าไปให้
สำหรับเรื่องเทคโนโลยีให้กองทัพทันสมัยเราจะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งเรื่องยุทธการณ์ เช่น การเสริมกำลังรบ หรือ กองทัพไซเบอร์ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาพูดคุยกันให้เป็นกองทัพที่ 5 หรือไม่ ก็จะต้องไปศึกษากันว่ารัฐบาลจะสนับสนุนอย่างไร และไซเบอร์ ก็อาจจะไม่ใช่เฉพาะภายในกองทัพ แต่ก็อาจจะขยายการปกป้องคุ้มครองไปจนถึงทางธุรกิจ และนักลงทุนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นได้
เรื่องการลดกำลังพล และการเกณฑ์ทหาร นายสุทิน กล่าวว่า การจะนำไปสู่การยกเลิกเกณฑ์ทหารได้ มี 2 วิธี คือ การสร้างมาตราการให้เกิดการสมัครใจเยอะๆ ให้จำนวนเข้าเป้า และนำไปสู่การยกเลิกเกณฑ์ทหาร กับอีกทางเลือก คือการงดหรือออกกฎหมายห้าม ซึ่งก็จะทำให้รัฐธรรมนูญมีปัญหา รวมถึงข้อเท็จจริงในสถานการณ์โลกที่สอนเรา ที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มกลับมารื้อฟื้นการเกณฑ์ทหาร ก็จะนำตรงนี้ไปเป็นบทเรียนว่าหากวันข้างหน้าเราเจอภัย และเรายกเลิกเกณฑ์ทหารจะทำอย่างไร
อย่างไรก็ตาม การสร้างแรงกระตุ้นแรงจูงใจให้คนมาสมัครเพิ่มขึ้น วันนี้ก็ให้กองทัพไปทบทวนตัวเลขเป้าหมายในการเกณฑ์ว่า ลดลงอีกได้หรือไม่ เท่าที่ทราบเบื้องต้นลดได้ ส่วนจะลดเหลือเท่าไหร่ก็ต้องรอผลสรุป โดยวิธีที่เห็นร่วมกันเบื้องต้นคือการสร้างแรงจูงใจ เช่น การเพิ่มสวัสดิการทหารเกณฑ์ เพราะเดิมเคยรับแต่ถูกหักค่าประกอบเลี้ยง ซึ่งหลังจากนี้จะให้กองทัพศึกษาเพื่อให้ทหารเกณฑ์ได้รับเงิน 1 หมื่นบาทเต็ม โดยไม่ต้องไปของบประมาณจากรัฐบาลเพิ่ม แต่นำงบจากการลดกำลังพลลงมาเป็นค่าอาหาร ซึ่งจากที่คำนวณในวันนี้ใกล้เคียงกับของจริง
อีกทั้ง กองทัพจะให้ความสำคัญกับการสร้างแรงจูงใจในการก้าวหน้าบของอาชีพ เพราะอดีตผู้คนมักคิดว่า การเป็นทหารชีวิตจะต้องหยุด 2 ปี แต่วันนี้ไม่ใช่ เพราะจะต้องเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าสู่โรงเรียนนายสิบ เสมือนเป็นโรงเรียนเตรียมก่อนเข้านายสิบ
นายสุทิน กล่าวต่อว่า ประการสุดท้ายคือ การมีส่วนร่วมกองทัพในการแก้ปัญหายาเสพติด เพราะที่ผ่านมา จะพบว่าค่ายทหารเกณฑ์มีส่วนบำบัดผู้ติดยาได้ จึงต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้ปกครองมั่นใจต่อหน่วยงาน ซึ่งต่อจากนี้จะต้องทำการบ้าน และทำการประชาสัมพันธ์ให้ดี ในทางโซเชียลเพื่อให้เข้าถึงเยาวชน และเชื่อว่าจะดึงดูดให้มีผู้สมัครมากขึ้น จนถึงจุดสมดุลในวันข้างหน้าได้ในไม่นาน คือการยกเลิกเกณฑ์ทหาร จะเป็นโดยวิธีธรรมชาติ และยังเหลือโอกาสไว้ให้กับกองทัพที่เป็นทหารกองหนุนเข้ามาอีกได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะทำได้ในกี่ปี เพราะในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยังทำไม่ได้ นายสุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องยอมรับการสร้างแรงจูงใจ และการสื่อสารยังไม่เพียงพอ ซึ่งตนคิดว่าถ้าทำให้แข็งแรงพอในสมัยอายุรัฐบาลนี้ จะได้เห็นความสมัครใจเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องเกณฑ์ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ต้องเพิ่มงบประมาณในการผลักดัน ให้ใช้งบประมาณจากงบเดิม ส่วนการเพิ่มที่มากขึ้นก็จะต้องคิดว่าจะไปกระทบฐานเงินเดือนข้าราชการทหารประเภทอื่นหรือไม่ และเชื่อว่าการสร้างจูงใจจะมากพอ โดยใน 4 ปี ตนเชื่อว่าจะสมบูรณ์
ขณะที่เรื่องชายแดนใต้ เป็นเรื่องที่จะต้องร่วมกันในหลายหน่วยงาน ซึ่งเรื่องนโยบายที่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหมเป็นเพียงหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติ และสนับสนุนนโยบาย ตนหรือกระทรวงฯ จะตอบเองคงไม่ได้
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล อภิปรายนโยบายรัฐบาล พาดพิงว่า รัฐมนตรีกลาโหม จะเป็นเหมือนโฆษกให้กับกองทัพ นายสุทิน กล่าวว่า ไม่หนักใจ เป็นธรรมชาติของฝ่ายค้าน มองว่าการที่กล่าวหามาเป็นวาทกรรม เพราะเราเชื่อว่าการนำเสนอของเราพิสูจน์ได้ ซึ่งมีปัจจัยที่มองว่า การปรับลดกองทัพ ทำให้มันสมัย และโปร่งใส ก็คือการปฏิรูปแล้ว จะเห็นความชัดเจนใน 2 ปี
สำหรับนโยบายกับประเทศเพื่อนบ้าน เรายึดตามกรอบอาเซียน มีกรอบปฏิบัติอยู่ ส่วนเรื่องกลุ่มติดอาวุธที่ของประเทศเพื่อนบ้านที่สู้รบกัน และล้นเข้ามาอยู่ริมชายแดน นายสุทิน ระบุว่า เป็นปกติของการสู้รบที่จะต้องล้นเข้ามาอยู่เรื่อย และเราก็จะผลักดันออกไป ซึ่งกรณีนี้ เราก็มีกรรมการแก้ปัญหาแบบไล่ระดับ โดยอยู่ในระดับที่ทหารผู้ปฏิบีติการเจรจากันได้ แต่เราจะดูที่เจตนา หากมีการลุกล้ำเข้ามา และสร้างผลกระทบก็จะตอบโต้ด้วยมาตราการหนัก ซึ่งตอนนี้ยังไม่พบความเสียหาย โดยชนกลุ่มน้อยก็ดูเจตนาของเราเหมือนกันว่าเราไม่ได้มีเจตนาให้ที่หลบซ่อน พร้อมย้ำว่า ทหารที่รุกล้ำเข้ามาใช้เวลานานในการเจรจา เพราะทหารเหล่านั้นกลัวตาย
ในส่วนของ พรรคฝ่ายค้านที่อภิปรายนโยบายรัฐบาล มีการพาดพิงว่าบริษัทที่กู้เรือหลวงสุโขทัยมีนามสกุลเดียวกับว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายสุทิน กล่าวว่า ตนก็ได้ฟังเมื่อคืน และจะต้องรีบหาความชัดเจน ส่วนการได้ถามกับทางกองทัพเรือหรือไม่เรื่องที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่ามีการล็อคสเป็คบริษัทกู้เรือ นายสุทิน ระบุว่า เรื่องนี้ยัง เดี๋ยวจะรีบหาความชัดเจน
เมื่อถามว่าไม่มีการเกรงใจใช่หรือไม่ นายสุทินยืนยันว่า ไม่ได้เกรงใจ เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องทำให้กองทัพโปร่งใส ลดการทุจริตให้เหลือน้อยที่สุด ถ้ามีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องตาม
ขณะที่ความชัดเจนเรื่องเรือดำน้ำนั้น นายสุทิน ระบุว่า กองทัพเรือสรุปว่าจะเดินหน้าการจัดซื้อจัดจ้างต่อ ซึ่งการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปจะมาที่กระทรวงกลาโหม และเสนอเข้าสู่การประชุม ครม. ต่อไป ซึ่งยังคงมีการสำรวจข้อมูล รวมทั้งหารือกันอยู่หลายฝ่าย ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ให้ความสนใจเรื่องนี้ และกำลังจะหาทางออกที่ดีที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินหน้าจัดซื้อจัดจ้างเรือดำน้ำจะขัดท่าทีของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เนื่องจากนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เคยคัดค้านเรื่องนี้มาผโดยตลอดนายสุทินกล่าวว่า ท่าทีของนายยุทธพงศ์ เป็นไปเพื่อการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งมุมมองของพรรคเพื่อไทยต่อเรื่องนี้ คือ กองทัพไม่เสียโอกาส ประเทศชาติต้องไม่เสียประโยชน์ และไม่เกิดความบาดหมางกับชาติมหามิตร
ส่วนกระแสข่าวที่เยอรมันยกเลิกผลิต เครื่องยนต์เรือดำน้ำรุ่นที่ทร.ต้องการ จะมีปัญหาหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ทราบข่าวเรื่องนี้ แต่ข้อเท็จจริง จะต้องติดตามหลังจากที่นายกรัฐมนตรี ไปร่วมการประชุม UNGA
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางออกของเรื่องนี้ยังไม่ใช่การยกเลิกสัญญากับจีนใช่หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า จากที่นายกรัฐมนตรีได้แถลง ก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งในเบื้องต้นคงจะพยายามแก้ไขก่อน รวมทั้งกล่าวว่า ให้รอความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ทางกระทรวงกลาโหมจะรวบรวม ความคิดเห็นจากทุกฝ่ายให้มากที่สุด และต้องรับฟังกองทัพในด้านเทคโนโลยี ว่าสมรรถนะเครื่องยนต์เรือดำน้ำจีน สามารถสู้กับเครื่องยนต์เรือดำน้ำของเยอรมนีได้หรือไม่ รวมทั้งพิจารณาเรื่องผลประโยชน์และความคุ้มค่าควบคู่กันไปด้วย และกล่าวว่าเรื่องเรือดำน้ำเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องเอาความสุจริตเป็นที่ตั้ง เป็นเกราะกำบังในการดำเนินการให้ลุล่วง












