POLITICS

‘ก้าวไกล’ จัดงานวันเด็ก ปี 67 ในหัวข้อ “ถ้าหนูโตไปอยากเป็นนักการเมือง”

‘ก้าวไกล’ จัดงานวันเด็ก ปี 67 ในหัวข้อ “ถ้าหนูโตไปอยากเป็นนักการเมือง” พร้อมเปิดเวทีจำลอง แคนดิเดตนายกฯ ตัวน้อย ได้แสดงวิสัยทัศน์ ด้าน พริษฐ์ ดัน 6 ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการศึกษา และอยากเห็นก่อนวันเด็กปีหน้า มอง “เด็กอาจจะไม่ได้ต้องการคำขวัญ แต่เป็นคำสัญญาในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็ก”

วันนี้ (13 ม.ค. 67) พรรคก้าวไกล จัดงานวันเด็ก ปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ถ้าหนูโตไปอยากเป็นนักการเมือง” ที่อาคารอนาคตใหม่ โดยภายในงาน มีบูธกิจกรรมต่างๆ อาทิ 9 GREEN สิ่งแวดล้อมก้าวไกล ที่ให้เยาวชนฝึกคัดแยกขยะ หรือก้าว GEEK เทคโนโลยีก้าวไกล ที่ให้เยาวชน ฝึกออกแบบโลโก้พรรคก้าวไกล ผ่านเว็ปแชท GPT รวมถึงกิจกรรม ให้เด็กเยาวชน จำลองการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นมาแสดงวิสัยทัศน์ ในแบบฉบับเยาวชน

นอกจากนี้ ยังมีเวทีทอล์ค ฟังประสบการณ์การเติบโตจากวัยเด็กสู่เส้นทางการเมืองของ 4 สส. พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล และ นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โดยบอกเล่า และแนะนำเด็ก และเยาวชนที่จะเดินหน้าเข้าสู่แวดวงการเมือง ถึงทักษะการสื่อสาร ทั้งต่อหน้าสาธารณะ และระดับบุคคล รวมถึงความรู้เบื้องต้นของกฎหมายไทย เพราะหน้าที่หลักของสส. คือการออกกฏหมาย และความรู้ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะต้องเข้าไปตรวจสอบหน่วยราชการ

อีกทั้ง เรื่องการยอมรับความเห็นต่าง แม้จะไม่ตรงกับอุดมการณ์ของตนเอง ไปจนถึงเป็นนักการเมือง ต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจประชาชน เรื่องความทุกข์ของประชาชนถือเป็นความทุกข์ร้อนของเราด้วยเช่นกัน และสิ่งสำคัญที่สุด คือต้องมีวาระ หรือเหตุผลว่าทำไมจึงอยากเข้ามาทำงานการเมือง และจุดยืนทางการเมือง ถ้านักการเมืองทั้งหมดเป็นเช่นนี้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของเหรียญ คืออาชีพที่ไม่มีวันหยุด และจะมีคนไม่ชอบเราอย่างแน่นอน เพราะการตัดสินใจของคุณกระทบต่อคนจำนวนมาก เค้าอาจจะมีสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เราทำ

โดยนายชัยธวัช ให้สัมภาษณ์ถึงงานวันนี้ว่า เราทำกิจกรรมพูดถึงนโยบายการศึกษาของพรรค และการพูดคุยกับเด็กๆ ที่สนใจงานทางการเมือง ว่าถ้าเด็กอยากเป็นนักการเมืองนั้นจะทำอย่างไร ส่วนตัวมองว่า ไม่อยากจะให้มองว่าอาชีพ หรือการทำงานทางการเมือง เป็นเรื่องที่ห่างไกล หรือเรื่องน่ากลัวมากกว่า สำหรับคนที่มีความรู้สึกคิดว่าตัวเองอยากเข้ามาเป็นคนที่มีโอกาสในการออกกฏหมาย ออกนโยบายบริหารประเทศ การมาเป็นผู้แทนราษฎร ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง และยังมีอีกหลายทางเลือกด้วยเช่นกัน

ด้าน นายพริษฐ์ กล่าวว่า เสียงตอบรับดี กิจกรรมเราพยามออกแบบให้เด็กมีส่วนร่วม มีโอกาสได้แสดงออกถึงความคิดความฝัน เราทำเรื่องนโยบายการศึกษา ที่อยากพูดในวันเด็ก เพราะส่งผลกระทบ ต่อปัจจุบัน และอนาคตของเด็กทุกคน โดยทุกวันเด็ก เราจะคุ้นเคยกับคำขวัญ ซึ่งบ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำ ว่าผู้นำแต่ละยุค ควรมีคุณสมบัติอย่างไร แต่เรามีความเชื่อว่า สิ่งที่เด็กอยากได้มากที่สุด อาจจะไม่ใช่การที่ผู้ใหญ่แค่มาบอกว่าเด็กควรจะเป็นอย่างไร แต่คือการที่ผู้ใหญ่รับฟังความฝันของเขา สิ่งที่เด็กต้องการมากที่สุดอาจจะไม่ใช่คำขวัญ แต่คือคำสัญญาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจที่จะสร้างอนาคตที่ดีขึ้น ให้กับเด็กทุกคนได้อย่างไร

ซึ่งตนได้พูดถึง 6 ข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่อยากจะเห็นให้เกิดขึ้นก่อนวันเด็กปีหน้า

1.เดินหน้าจัดทำหลักสูตรการศึกษาฉบับใหม่

2.ลดภาระงานครู ที่ไม่เกี่ยวกับการสอน

3.เพิ่มเงินอุดหนุนให้กับนักเรียน ที่มีความเสี่ยงจะตกหล่นจากระบบการศึกษา

4.การหาทางออกเรื่องโรงเรียนขนาดเล็ก

5.การคุ้มครองความปลอดภัยในสถานศึกษา ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ

6.การเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักเรียนในการออกแบบกติกาในโรงเรียน และกำหนดอนาคตในสังคมนอกโรงเรียน

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า หวังว่ารัฐบาล จะรับไว้พิจารณา แต่นอกเหนือที่เราจะผลักดัน ผ่านไปยังรัฐบาลแล้ว พรรคก้าวไกล ก็ใช้กลไกสภาฯ ผลักดันด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการยื่นร่างข้อกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติการศึกษา หรือกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้อง เช่นพระราชบัญญัติห้ามตีเด็ก ที่เราได้ยื่นไปแล้ว รวมถึงใช้กลไกคณะกรรมาธิการ การศึกษาฯ ในการตรวจสอบด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่าหากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลจะไม่มีคำขวัญแต่จะเปลี่ยนเป็นคำสัญญาใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ ตอบว่า ใช่ เพราะเราเข้าใจว่าคำขวัญ เป็นสิ่งที่ทำกันมาทุกปีเข้าใจว่า 60 กว่าครั้ง เราก็มองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายอะไร แต่สิ่งที่เด็กอาจจะต้องการมากกว่า ไม่ใช่การที่ผู้ใหญ่มาบอกว่าอยากเห็นเด็กเป็นอย่างไร แต่อยู่ที่ผู้ใหญ่จะสื่อสารว่าจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้น ให้กับเด็กอย่างไร นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ทั้งนี้ ในช่วงถามตอบ มีประชาชนถามว่าจะแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศ และสส.งูเห่า ในพรรคอย่างไร โดยที่สส.บางคนไม่มีจิตสำนึก โดยนายพริษฐ์ ตอบว่า เรื่อง สส. งูเห่า เราจะต้องศึกษากฎหมาย อย่างต่างประเทศ และแก้ไขด้วยอุดมการณ์ทางความคิด ให้รู้ว่าเป็นการรวมตัวกัน ด้วยความคิดแบบไหน ส่วนเรื่องการคุกคามทางเพศเป็นปัญหาใหญ่ ของสังคมไทย รวมถึงในระบบการศึกษาด้วย ซึ่งจะต้องป้องกันสร้างความเข้าใจต่อสังคมว่าการคุกคามทางเพศครอบคลุมอะไรบ้าง ไม่เพียงแค่การแตะเนื้อต้องตัว แต่รวมถึงการคุกคามด้วยวาจา สายตา หรือความสัมพันธ์ ระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ซึ่งหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะทำอย่างไร ให้นำไปสู่ความยุติธรรมอย่างเร็วที่สุด และไม่มีวัฒนธรรมในการปกป้องคนผิด แม้อาจจะเป็นคนที่รู้จักกันก็ตาม

Related Posts

Send this to a friend