POLITICS

‘จุลพันธ์’ ซัด ปชน. – ภท. ต้องรับผิดชอบร่วมกัน มอง เป็นดีลการเมืองที่พังพินาศที่สุด

‘จุลพันธ์’ ซัด ‘พรรคประชาชน – ภูมิใจไทย’ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน มอง เป็นดีลการเมืองที่พังพินาศที่สุด ผิดหวัง ‘ณัฐพงษ์’ ปล่อยหนูเข้าป่า ให้นายกฯ ยุบสภาแทนการตรวจสอบ ชี้ 2 เดือนที่ผ่านมา คนไทยไม่ได้อะไรแต่ภูมิใจไทยได้เต็ม ๆ บอก รัฐบาลลอยตัวเหนือความผิด บอก พื้นที่ชายแดนเลื่อนเลือกตั้งได้ ไม่กระทบภาพรวม ชี้ ไม่ใช่เวลาถามหาความจริงใจ “นายกฯ” ต้องทำตามกฎหมาย ส่งคำถามประชามติให้กกต.เท่านั้น

วันนี้ (12 ธ.ค. 68) ที่พรรคเพื่อไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีไม่เกินความคาดหมายหรือไม่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญไปไม่ถึงวาระ 3 ว่า ตนเองเป็นคนหนึ่งที่พูดมาโดยตลอด เพราะเราเห็นมาตั้งแต่ต้นว่าเอ็มโอเอที่ทำมาจากภูมิใจไทย และพรรคประชาชนมีแต่ทางล้มเหลว เพราะเป็นดีลการเมืองที่พังพินาศที่สุดเท่าที่เคยมีมา และขัดต่อหลักการประชาธิปไตย และเมื่อเข้าสู่ดีลนี้กันแล้ว มีแต่ไปสู่ความผิดพลาด สุดท้ายปรากฎชัดเมื่อวาน (11 ธ.ค.) ซึ่งเราก็สงสัยมาโดยตลอดถึงเรื่องความจริงใจของรัฐบาลที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งตรงจุดนี้ตนเองไม่แน่ใจว่าพรรคประชาชน เพิ่งเห็นหรือไม่อย่างไร เพราะเราพยายามเตือน พยายามบอกตั้งแต่ต้นอยู่แล้วสุดท้ายก็ปรากฏชัด เมื่อวานที่ประชุมรัฐสภา ทางพรรคภูมิใจไทยโหวตให้กับสว. โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถไปคุยกับสว.ได้ หรือไปควบคุมไม่ได้ จึงจำเป็นต้องยกมือให้เพื่อหวังว่าวาระ 3 จะผ่าน ซึ่งหากจะมีคนเชื่อก็มีแต่พรรคประชาชน เพราะพรรคการเมืองอื่นก็เห็นอยู่แล้วว่าการเคลื่อนไหวของ สว. ชุดนี้ มีความเชื่อมโยงกับพรรคภูมิใจไทยอย่างไร และจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องประหลาด ซึ่งนายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนก็ได้พูดเมื่อวานว่าที่เข้าสู่เอ็มโอเอฉบับดังกล่าว เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทย มีอำนาจเหนือที่จะเจรจากับสว. ชุดนี้ ฉะนั้น นายณัฐพงษ์ คงเชื่อเหมือนกับตนเองว่ากระบวนการฮั้วสว. นั้นมีจริง

เมื่อถามถึงกรณีที่สถานการณ์มาถึงจุดนี้ดูเหมือนว่าพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยโยนกันไปโยนกันมา นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ต้องรับผิดชอบทั้งคู่ ซึ่งสำหรับพรรคเพื่อไทยต้องแสดงความผิดหวังกับรัฐบาลก่อน เพราะสภาวะประเทศขณะนี้ ทั้งสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา เรื่องน้ำท่วมที่ยังแก้ไขไม่เสร็จ รัฐบาลกลับปัดทิ้งภาระความรับผิดชอบ และเลือกที่จะหนีการตรวจสอบผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และยุบสภา ทิ้งให้ประชาชนเดือดร้อนต่อไป แต่แน่นอนว่ากลไกภาครัฐยังสามารถเดินต่อไปได้ ทหารก็ดูแลชายแดนไป แต่รัฐบาลปัดความรับผิดชอบของตนเอง ยุบสภาหนีการตรวจสอบ ในขณะที่ความผิดหวังที่สองของพรรคเพื่อไทยคือพรรคประชาชน ซึ่งยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีการพูดคุยกับนายณัฐพงศ์จริง ที่มาขอให้พรรคเพื่อไทยชะลอการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐธรรมนูญมาตรา 151 และสุดท้ายมาพูดคุยกันว่าหากการลงมติในวาระที่ 2 มีปัญหาหรือแพ้ นายณัฐพงษ์ ก็เชื่อว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจ ก็จะมาร่วมกับพรรคเพื่อไทย ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งตอนที่นายณัฐพงษ์ พูดในสภา ตนเองอยู่ด้านนอก แต่เมื่อได้ยินก็รีบเข้ามาทันที เพราะตอนที่นายณัฐพงษ์พูด ก็ชัดเจนว่า หากญัตติโหวตแพ้ ก็ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา และส่งสัญญาณว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“ซึ่งต้องใช้คำว่า ปล่อยหนูเข้าป่า เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้กับรัฐบาลสามารถที่จะยุบสภาได้ทัน เพื่อที่จะไม่ต้องตรวจสอบกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาล ไม่ต้องโดนตรวจสอบ ซึ่งเราผิดหวัง ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ และอีกหลายพรรคการเมือง ที่มาลงชื่อไว้กับผม ก็พร้อมที่จะตรวจสอบ เรารอพรรคประชาชนว่าจะเอาอย่างไร” นายจุลพันธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคประชาชนตามเกณฑ์ไม่ทันทั้งเอ็มโอเอ หรือการชิงยุบสภาก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตามไม่ทันหรือเห็นว่าวิธีการนี้ดีกว่า ตนไม่ทราบ ท่านอาจจะเลือกให้มีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งแทนการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งการตรวจสอบรัฐบาลมีปัญหาเยอะทั้งเรื่องของกรณีเขากระโดง ฮั้วสว. การทุจริตคอรัปชั่น MotoGP และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่ง 2 เดือนที่ผ่านมาประเทศไทยและคนไทยไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้ทั้งหมดเต็ม ๆ คือ พรรคภูมิใจไทยที่ได้สะสมกำลัง เสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มอนุรักษ์นิยม และได้โยกย้ายข้าราชการเตรียมไว้สำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งคนไทยไม่ได้อะไร กลับต้องมาเผชิญกับรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ที่บริหารงานน้ำท่วมล้มเหลว งานชายแดนจนกระทั่งลุกลาม ซึ่งทั้ง 2 พรรคที่อยู่ในเอ็มโอเอต้องรับผิดชอบทั้งคู่

เมื่อถามว่า สถานการณ์แบบนี้เหมือนปล่อยให้รัฐบาลลอยตัวเหนือความผิดหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ถูกต้อง ความจริงแล้วกระบวนการถ้ามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สภาก็เดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ต่อได้ สภาก็มีหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีเข้ามาใหม่ หากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลุดออกจากตำแหน่ง ซึ่งยังสามารถเสนอชื่อเข้ามาได้ ไม่ได้ผิดอะไร และการแก้ไขปัญหาประเทศก็เดินหน้าต่อ เมื่อมีรัฐบาลใหม่มาก็ประสานงานต่อแค่นั้น แต่ตอนนี้คือมีสุญญากาศ

เมื่อถามย้ำว่า เป็นการเตะหมูเข้าปากหนูใช่หรือไม่ พรรคเพื่อไทยจะตั้งเกมรับมืออย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เราไม่ตั้งเกม เพราะเราเตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว วันนี้ต้องบอกประชาชนว่าอย่าสิ้นหวัง วันนี้ต้องใช้เวทีการเลือกตั้งนำพาประเทศกลับสู่ความถูกต้อง พรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นตัวเลือก

ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องสู้กับกระแสคลั่งชาติ และสถานการณ์ชายแดน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กระแสใดก็ตามเราก็ต้องฟันฝ่า และต้องแสดงความจริงใจของเราให้กับประชาชน จุดยืนของเพื่อไทยเรามั่นคง

ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนมีผลกระทบกับการเลือกตั้งหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มีแต่พูดคุยกัน ว่าจะจัดการเลือกตั้งได้หรือไม่ ในกรณีที่ไม่สามารถจัดเลือกตั้งพร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งเมื่อวานนี้ สส. ของพรรคภูมิใจไทย เดินพูดทั้งวัน ซึ่งกลไกตามรัฐธรรมนูญไม่มีอะไรติดขัด เพราะรัฐธรรมนูญกำหนด ว่า ต้องเลือกตั้งภายใน 45 – 60 วัน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 1 ก.พ.หรือ 8 ก.พ. 2569 แต่ถ้าจะให้ทันตามกรอบเวลา การตั้งคำถามประชามติ คงต้องเป็นวันที่ 8 ก.พ. และเมื่อมีประกาศให้เลือกตั้งทั้งประเทศแล้ว กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก็เขียนชัดเจน ว่า ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินจำเป็น แต่ละหน่วยเลือกตั้งสามารถเลื่อนการเลือกตั้งในแต่ละจุดนั้นได้ แต่ไม่กระทบการเลือกตั้งภาพรวม ซึ่งยังมองไม่ออกว่า รัฐบาลมีความประสงค์ที่จะดำเนินการอย่างที่ว่า จะดำเนินการด้วยกฎหมายช่องใด แต่ต่อให้ดำเนินการจริง ก็สามารถทำได้ถ้ามีช่องทางทางกฎหมาย แต่นั่นคือความพังพินาศของท่าน เพราะประชาชนคนไทยคงไม่รอด้วย

เมื่อถามว่าที่มีการตั้งข้อสงสัยสถานการณ์การชายแดนที่เกิดขึ้น มีการเอื้อต่อการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประเด็นนี้อย่าคิดมาก ตนเองก็ติดตามข่าวสาร แต่นาทีนี้สิ่งที่ต้องทำ คือ การส่งกำลังใจให้ทหารที่บริเวณชายแดน และประชาชนที่ต้องประสบภัย และต้องอพยพ ซึ่งตัวแทนของพรรคเพื่อไทยเองก็อยู่ในพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามว่าการชิงยุบสภาก่อน จะส่งผลต่อการปราบสแกมเมอร์หรือไม่นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กระบวนการการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หน่วยงานรัฐก็ต้องดำเนินการต่อไป อย่าให้สะดุดติดขัดตามกรอบกฎหมายที่มี ในส่วนของรัฐบาล การรักษาการก็สามารถดำเนินการภารกิจที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้ ไม่ใช่ต้องยุติไปทั้งหมด เมื่อมีรัฐบาลใหม่ก็ไปสานต่อ ซึ่งไม่ทำให้การแก้ปัญหานั้นหยุด

เมื่อถามว่าจะได้เห็นความจริงใจสุดท้ายของรัฐบาล ในการเดินหน้าทำคำถามประชามติหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไร สุดท้ายพวกเราที่อยู่ในสภาก็คุยกัน เพื่อที่จะเร่งกระบวนการในการผ่านญัตติเรื่องคำถามประชามติ คำถามที่ 1 ว่า เห็นควรให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งจบด้วยดี

“ตอนนี้ไม่ได้ถามถึงความจริงใจรัฐบาล เมื่อมีคำถามประชามติส่งไปจากรัฐสภาไปยังรัฐบาล ตามกฎหมายรัฐบาลต้องดำเนินการ ดังนั้น ไม่ต้องไปถามหาความจริงใจ ผมว่า ความจริงใจเขาหมดตั้งแต่เข้าสู่ MOA และกระบวนการลงมติมาตรา 256 / 28 เมื่อคืนนี้แล้ว วันนี้ไม่ได้มาถามหาความจริงใจ แต่ขอให้ทำตามกฎหมาย คือ คำสั่งที่รัฐสภาส่งไปให้ถาม ก็ไปถามซะ” นายจุลพันธ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากจะมีการเรียกประชุมสส.พรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีกรรมการบริหารพรรค แกนนำพรรค รวมถึงน.ส.แพทองธาร​ ชินวัตร​ หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนายยศนัน วงศ์​สวัสดิ์​ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่คาดว่าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี​ เดินทางเข้าพรรคในวันนี้ด้วย

Related Posts

Send this to a friend