’อังคณา’ ขอคำมั่นจาก ’รัฐบาล‘ ใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม รัฐไม่ปกป้องคนผิด
ถามจะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นได้อย่างไร ในเมื่อหลักนิติรัฐ – นิติธรรม ถูกทำลาย โดยวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด ห่วง คดีฆาตกรรม และการบังคับสูญหาย อยู่ในมาตรการปราบปราม ซ้ำรอยสมัยสงครามยาเสพติด
วันนี้ (12 ก.ย. 67) ในการประชุมร่วมรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลุกขึ้นอภิปราย โดยกล่าวชื่นชมรัฐบาลที่กำหนดนโยบายให้ผู้เสพยาเสพติดเป็นผู้ป่วย ซึ่งทำให้ผู้เสพยาเสพติด ได้รับโอกาสในการดำเนินชีวิต และได้รับการบำบัดโดยสมัครใจ แทนการลงโทษจำคุก
นางอังคณา ระบุว่า กรณีนี้อาจทำให้จำนวนนักโทษลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ผู้ต้องขังคดียาเสพติดในเรือนจำจะลดลง แต่คนเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน และแม้สมัครใจรับการรักษาแทนการจำคุก แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยได้ไปบำบัดรักษา คนเหล่านี้ยังอยู่ในสังคมอยู่ในครอบครัว ซึ่งเห็นว่า เป็นความท้าทายมาก เพราะเรื่องปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นในชุมชน เป็นภาระของครอบครัว และชุมชนอย่างมาก เนื่องจากชุมชนขาดศักยภาพในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ขณะที่กรมคุมประพฤติเอง ก็มีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ และบุคลากร ทั้งการทำงานด้านการสืบเสาะ หรือติดตามการบำบัดรักษา
นางอังคณา ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล ระบุว่าจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามยาเสพติด โดยมีความกังวลว่า รัฐบาลจะสร้างหลักประกันได้อย่างไร ว่า ความร่วมมือดังกล่าว จะไม่เป็นการปราบปราม โดยเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน ซึ่งปรากฏในรายงานของสหประชาชาติว่า ประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน ทั้งการค้า และการบังคับสูญหาย ซึ่งทำในนามของการปราบปรามยาเสพติด และการปราบปรามการก่อการร้าย
อีกทั้ง นางอังคณา ได้ตั้งคำถามถึงการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดว่า จะมีหลักประการได้อย่างไรว่า การแก้ปัญหายาเสพติด จะไม่ซ้ำรอยนโยบายในช่วงสงครามยาเสพติดที่ผ่านมา เนื่องจากภายหลังการดำเนินนโยบายนั้น มีคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 2,604 คดี และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,873 ราย ประกอบด้วยคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกการณ์เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด และไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด รวมถึงไม่ทราบสาเหตุ และยังมีคนถูกบังคับให้สูญหายอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีการระบุว่า มีคนหายมากกว่า 10 กรณี จากกรณีคนหายในประเทศไทยทั้งหมด 77 กรณี โดยส่วนมากเป็นกลุ่มชาติติพันธ์ทางภาคเหนือและภาคอีสาน
“วันนี้คดีการเสียชีวิตของคนนับพันคนหมดอายุความ โดยไม่มีใครต้องรับผิดหรือรับโทษ จนชาวบ้านบอกว่า มีคนตาย มีคนหาย แต่ไม่มีคนผิด” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา ยังกล่าวถึง การพลิกฟื้นความเชื่อมั่นโดยยึดหลักนิติธรรม ด้วยการตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะสร้างหลักนิติรัฐ นิติธรรม หรือความโปร่งใสได้อย่างไร ในเมื่อประเทศไทยยังมีวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด และประชาชนไม่เคยเข้าถึงสิทธิที่จะสร้างความจริงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ
“การลอยนวลพ้นผิด คือการใช้ความรุนแรงโดยรัฐต่อประชาชน โดยไม่มีผู้ใดรับผิด การลอยนวลพ้นผิด จึงเป็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมของประเทศ และเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะหลักนิติรัฐคือการรับประกันว่า ประชาชนทุกคนจะมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย รัฐจะปกป้องผู้ไร้อำนาจจากผู้มีอำนาจ แต่ถ้าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายถูกทำลายลง รัฐจะสร้างความเท่าเทียมหรือพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อประชาชนทำผิดต้องถูกลงโทษ ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดแทบไม่มีใครถูกลงโทษ” นางอังคณา กล่าว
ในช่วงท้าย นางอังคณา เห็นว่า การพลิกฟื้นความเชื่อมั่นที่สำคัญ ไม่ใช่แค่การพูด แต่คือการที่รัฐต้องทำให้ประชาชนเท่าเทียมกันทางกฏหมายอย่างแท้จริง รัฐต้องไม่ปกป้องคนผิด ไม่ปล่อยให้มีการฆ่านอกกระบวนการยุติธรรม และการอุ้มหาย รัฐบาลต้องยุติวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของประเทศไทย ตนอยากได้ยินคำมั่นจากรัฐบาลในประเด็นนี้












