ไทยวางกรอบประชุม JBC ถกสำรวจเขตแดนร่วม หวังลดอุณหภูมิการเผชิญหน้า
ไทยวางกรอบประชุม JBC ถกสำรวจเขตแดนร่วม หวังลดอุณหภูมิการเผชิญหน้า ชี้กัมพูชาเชิญประชุมเอง เท่ากับยอมรับ MOU 2543 ลั่นไม่ใช่ทุกปัญหาจะจบที่ JBC แต่ต้องเจรจาต่อเนื่อง
วันนี้ (12 มิ.ย. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวประจำสัปดาห์ เกาะติดสถานการณ์พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.68) ตามที่หลายท่านได้ติดตามนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่าไทยได้เตรียมการเข้าร่วมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งเป็นการหารือภายในของฝ่ายไทยครั้งที่ 2 ก่อนการประชุม นายมาริษได้มอบนโยบายในการเจรจาโดยย้ำแนวทาง 3 เรื่อง ได้แก่
1.การลดความตึงเครียด และทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข
2.การทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น เรื่องเส้นเขตแดน
3.การยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตย
นายนิกรเดช กล่าวว่าไทยมุ่งมั่นใช้กลไกทวิภาคี ซึ่งเป็นกลไกที่เป็นที่ยอมรับตามหลักปฏิบัติสากล และความตกลงที่สองประเทศมีอยู่แล้ว โดยจะเป็นวิธีหาทางออกของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลไกที่มีอยู่ได้แก่ JBC-GBC-RBC เราจะใช้ทั้ง 3 กลไกนี้ควบคู่กันไปในการเจรจา และใช้ MOU 2543 ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาที่สองฝ่ายได้ตกลงกันแล้ว และมีผลทางกฎหมาย
ที่ประชุม JBC อีก 2 วันข้างหน้าจะเกิดขึ้นแล้ว จึงขอชี้แจงรายละเอียดว่า JBC คือกลไกทวิภาคี กลไกหลัก ถือว่าเป็นเวทีหารือเรื่องเขตแดนโดยเฉพาะ จึงประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและเส้นเขตแดน ซึ่งจัดการประชุมขึ้นมาแล้ว 10 ครั้ง
หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของ MOU 2543 คือการให้ทั้งสองฝ่ายงดเว้นการเปลี่ยนแปลงสภาพพืนที่ ซึ่งหมดอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบ อย่างไรก็ตามคณะกรรมาธิการ JBC ของฝ่ายไทย ที่ได้รับการแต่งตั้ง ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่าย นำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ส่วนฝ่ายกัมพูชา มีนายลัม เจีย รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชายแดนกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ
“ไทยประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และมีประเทศอีก 118 ประเทศ รวมไทยด้วยเป็น 119 ประเทศ จาก 190 กว่าประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) มากกว่าครึ่งหนึ่งของ UN ไทยจะยึดมั่นผ่านกลไกทวิภาคี ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าผู้แทนไทยจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการด้วยความมืออาชีพ โดยจะเอาผลประโบชน์ของประชาจนเป็นตั้วตั้ง”
นายนิกรเดช ย้ำว่าการประชุม JBC
ยืนยันว่าไม่มีอะไรจะปิด แต่ไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้ เนื่องจากยังพูดคุยไม่เสร็จสิ้น โดยวาระที่มีการพูดคุยแน่ ๆ คือ การสำรวจเขตแดนร่วมกัน ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของนายประศาสน์นั้น สำหรับกระทรวงการต่างประเทศนายประศาสน์ มีความเชี่ยวชาญด้านเขตแดนดีที่สุดคนหนึ่ง ดูจากการทำงานอยู่กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศมาโดยตลอด เป็นผู้อำนวยการกองเขตแดน โตมาในกรมสนธิสัญญาฯ และไปเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ มีความรู้ทางพื้นที่ และมีความรู้เชิงเทคนิคในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย มีความคุ้นเคยได้รับการยอมรับจากข้าราชการกรมสนธิสัญญาฯ ในการนำทีม กรมสนธิสัญญาฯ เองก็อยากให้ท่านมาเป็นหัวหน้าทีมนี้ด้วย
นายนิกรเดช ขอยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะยึดผลประโยชน์ของประชาชนคนไทย ยึดถืออธิปไตยของชาติเป็นที่ตั้งไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนั้น หน่วยงานที่ไปประชุม JBC เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคในสายงานที่จำเป็นสำหรับเขตแดน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นมืออาชีพ ยึดผลประโยชน์ของคนไทยเหนือสิ่งอื่นใดในทุกการประชุม
การไปประชุม JBC ตามคำเชิญของกัมพูชาหมายความว่ากัมพูชายอมรับ MOU 2543 อยู่แล้ว โดยไทยมีวัตถุประสงค์จะบรรลุผลอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดได้เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเจรจา ขอให้รอหลังการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.68 แต่สิ่งที่ต้องการคือ ไทยอยากให้การประชุม JBC ลดอุณหภูมิการเผชิญหน้าระหว่างกัน เชื่อว่าจะเป็นความหวังของฝ่ายกัมพูชาด้วย เราพูดโดยตลอดว่าเราต้องไปประชุมด้วยความจริงใจและสุจริตใจ
ทั้งนี้หากไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะ 25 ปีที่ผ่านมาของการมี MOU 2543 ได้ปลดล็อคอะไรหลายอย่างตามแนวชายแดน 40 กว่าหลักเขต ไม่ใช่ว่าทุกปัญหาจะแก้ได้ภายในหนึ่งการประชุม ขอให้เริ่มมีการประชุมแล้วก็จะติดตามการประชุมครั้งต่อไป ในการประชุมอาจจะมีการตกลงในกรอบกว้างและนำไปสู่การทำงานร่วมกัน ดังนั้นการเผชิญหน้าหรือการมีความเห็นไม่ตรงกันที่ชายแดน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตกลงกันได้ในการประชุมครั้งเดียว ได้ก็ดี แต่ไม่อยากให้ความหวังว่าไปเจอกันที่ JBC แล้ว จะมีการลากเส้นเขตแดนกันเสร็จหมด คงไม่ใช่ เพราะจะต้องมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง