POLITICS

‘พิชิต’ เปิดตัวหนังสือ “ความยุติธรรมที่หล่นหาย” ไขความจริงฉายาทนายถุงขนม-ปม ‘เศรษฐา’

‘พิชิต’ เปิดตัวหนังสือ “ความยุติธรรมที่หล่นหาย” ไขความจริงฉายาทนายถุงขนม-ปม ‘เศรษฐา’ พ้นนายกฯ ขอความเมตตาจบเสียทีวาทกรรมกลั่นแกล้ง ยันไม่เคยหิ้วเงิน 2 ล้านขึ้นศาล

วันนี้ (11 ต.ค. 68) นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดตัวหนังสือ “ความยุติธรรมที่หล่นหาย” ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร พร้อมกับเปิดเวทีเสวนา “ให้ความยุติธรรมผลิบาน ความยุติธรรมที่หล่นหาย” ดำเนินรายการโดย นายมนตรี อุดมพงษ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว 3 มิติ

นายพิชิต กล่าวว่าการเขียนหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือเป็นการใส่ร้ายโดยปราศจากความเป็นจริง หรือความเห็นต่างทางกฎหมาย ยกตัวอย่างในประเทศฝรั่งเศส เวลาศาลมีคำพิพากษามักจะมีการทำบันทึกที่เห็นต่างขึ้นมา ตนเองจึงอยากทำหนังสือสักเล่มหนึ่ง เจตนาแรกเพื่อทำไว้ให้ลูกหลานแจกในงานศพว่า “ความยุติธรรมมันหล่นหายไปจากผู้ล่วงลับ” แต่เมื่อมานั่งคิดดูเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องส่วนตัว จึงคิดว่าจะนำหนังสือนี้มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ โดยใช้เวลาในการจัดทำและรวบรวมกว่า 5 เดือน

นายพิชิต ยืนยันว่าการเสวนาในวันนี้จะไม่มีการเอาเรื่องรัก เรื่องชอบ เรื่องเกลียดมาเกี่ยวข้อง และตนเองไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดมาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ในหนังสือเล่มนี้มีทั้งสิ้น 16 บท พร้อมกับบทส่งท้าย แต่ละบทได้กลั่นมาจากหัวใจ สะท้อนตัวตน ตั้งแต่การศึกษา การทำงาน ชีวิตก่อนที่จะเจอนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี การมาเป็นทนายความโดยไม่แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ไม่แบ่งสี จนได้มาทำงานเป็นทนายความให้นายทักษิณ ในคดีที่ดินรัชดา ตอนนั้นตนเองเรียกค่าทนายถูกมาก เพราะมั่นใจว่าหากทำคดีให้นายทักษิณรอดก็จะเป็นทนายความที่ดังมาก

สำหรับฉายา “ทนายถุงขนม” นายพิชิต ระบุว่า ตนเองไม่เคยถือถุงเงิน 2 ล้านบาทขึ้นศาล มีเอกสารราชการ ถ้าใครมีหลักฐานว่าตนเองถือถุงเงิน 2 ล้านบาทกับวิชาชีพที่ทำงานมา 20 กว่าปีก่อนจะว่าความให้นายทักษิณ ตนเองจะมีรางวัลให้ ถ้าไม่มี ขอความเมตตาให้จบเรื่องนี้สักที เพราะเป็นวาทกรรมกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยไม่เป็นธรรม การกล่าวหาว่าตนเองเป็นตัวการร่วม เป็นสิ่งที่คาใจ “เป็นความยุติธรรมที่หล่นหาย”

การประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาลเป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา แต่คำวินิจฉัยของศาลฎีกาไม่รู้ว่ามีวาระทางการเมืองหรือไม่ ไม่อาจหยั่งรู้ใจได้ การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 กับประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นเรื่องพิสดาร ไม่มีคดีใดในประเทศไทยที่ทำเช่นนี้ ตนเองเป็นคนเดียวในประเทศไทยที่ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ

การตั้งผมเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายเศรษฐาไม่มีอะไรซ้ำซ้อน นายทักษิณไม่ได้สั่งให้นายเศรษฐาตั้งผมเป็นรัฐมนตรีตามคำร้องของ สว. ฉะนั้นการจะตัดสินว่าบุคคลใดไม่เป็นที่ซื่อสัตย์สุจริต ควรจะฟังให้สิ้นกระแสความ เรื่องนี้เป็นความยุติธรรมที่หล่นหายไปจากตนเองและนายเศรษฐา เมื่อเกิดเรื่องตนเองจึงตัดสินใจลาออก “ให้มันจบที่ผม ผมไม่ได้เสียดายตำแหน่ง 24 วัน”

นายพิชิต กล่าวต่อว่า คดีดังกล่าวศาลไม่ได้เปิดโอกาสให้ชี้แจง คำร้องที่ตนเองแสดงพยานหลักฐานไม่ถูกเขียนในคำวินิจฉัยของศาล 40 สว. เหมือนยาหมดอายุ ทำหน้าที่รักษาการ เพียงแค่ดูแลกฎหมายที่ค้างอยู่ การจะใช้เอกสิทธิ์มายื่นถอดบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี เราจึงเถียงกันว่า 40 สว. ยังมีอำนาจหรือไม่

“ความยุติธรรมที่หล่นหายไม่ใช่ตัวผมคนเดียว แต่นายกฯ เศรษฐา เป็นผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ ถูกพิพากษาว่าเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ชีวิตคน ๆ หนึ่ง การถูกประหารชีวิต ถูกชี้หน้าว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต ทำไมศาลรัฐธรรมนูญไม่ฟังนายกฯ เศรษฐา แค่ให้เวลาอธิบาย 15 นาทีว่ามีเหตุผลใดที่ตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี เป็นแรงจูงใจให้ผมเขียนหนังสือเล่มนี้”

ในหนังสือเล่มนี้ยังมีจดหมายของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เขียนถึงนายพิชิต ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งไม่เคยได้รับการเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน ซึ่งสะท้อนถึงกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ได้รับความยุติธรรมในคดีรับจำนำข้าว

นายพิชิต เปรียบเทียบคดีของตนเองกับคดีของนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คดีกล่าวหาแทรกแซงฮั้ว สว. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า แม้จะสิ้นสุดตำแหน่งแต่คดีจะมีการพิจารณาต่อไป ทั้งที่ทั้งสองคนไม่สามารถไปแทรกแซงการทำงานของ กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้

“คดีฮั้ว สว. มีจิ้งจกที่ กกต. บอกมาว่าจะใส่ตู้เย็นไว้ ความยุติธรรมตามธรรมชาติ กกต. ต้องตอบมาว่าเมื่อตั้งตัวแทน 7 คนมานั่งพิจารณา หลังจากที่คณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ 26 มีคำวินิจฉัยแล้ว ทำไมตัวแทนของพวกคุณไม่ประชุมกันในเดือน ต.ค. คาดคะเนว่าในปี 68 คงไม่ไปถึงศาลฎีกา”

นายพิชิต กล่าวต่อว่า 16 ปี ที่ตนเองถูกกระทำ ตนเองได้จดบันทึกไว้ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่กระบวนการยุติธรรมเอื้อมมือจับง่ายมาก ตนเองก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มนี้ แต่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคดีอีกประเภทหนึ่ง กระบวนการยุติธรรมเอื้อมไม่ถึงเสียที บางครั้งเอื้อมถึงแต่เมื่ออ่านคำพิพากษาก็รู้ว่าสองมาตรฐาน ประเด็นเรื่องความยุติธรรมในประเทศไทยน่ากลัวมาก องค์กรอิสระ มีคำถามว่า “อิสระ” จริงหรือไม่ สุดท้ายการแก้รัฐธรรมนูญที่พรรคการเมืองหนึ่งใฝ่ฝัน ขอให้เกิดความยุติธรรมอย่างแท้จริง

ฝากถึงผู้อ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าชีวิตคนหนึ่งหากไม่ได้รับความยุติธรรมไม่มีใครยอมใคร ตนเองจึงดิ้นรนทำหนังสือเล่มนี้แม้จะหมดปัจจัยแต่ก็สู้ เพราะหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ

Related Posts

Send this to a friend