POLITICS

‘ธรรมนัส’ ประกาศจุดยืนพลังประชารัฐไม่โหวตเลือกนายกฯ เสียงข้างน้อย-แก้ ม.112

‘ธรรมนัส’ ประกาศจุดยืนพลังประชารัฐไม่โหวตเลือกนายกฯ เสียงข้างน้อย-แก้ ม.112 ไม่ชัดงดออกเสียงหรือไม่ หากโหวตรอบแรกไม่ผ่าน ควรเปิดทางให้พรรคอันดับ 2 ชี้สภาฯ มี 750 เสียง คงโหวตให้ได้ดั่งใจทุกคนไม่ได้

วันนี้ (11 ก.ค. 66) ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวภายหลังประชุม ส.ส.กำหนดแนวทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า สาระสำคัญของการประชุมคือการเลือก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ประสานงานกับพรรคอื่น เนื่องจากยังไม่รู้ว่าพรรคพลังประชารัฐอยู่ในสถานะใด โดยมีตนเอง เป็นประธาน นายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร เขต 3 และนายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 เป็นรองประธาน ทั้งนี้พรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่เสนอผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยใช้เสียงข้างน้อยเด็ดขาด และจะไม่โหวตให้ที่จะผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

เมื่อถามว่าจะไม่โหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส ตอบว่าไม่ว่าท่านใดก็ตามที่มีนโยบายเกี่ยวข้องกับการแก้มาตรา 112 ทั้งนี้หากนายพิธา ไม่ถูกโหวตให้เป็นนายกฯ ได้เตรียมแผนรับไว้หรือไม่ พรรคพลังประชารัฐมี ส.ส.เป็นอันดับ 4 ขั้นตอนต่อไปต้องให้พรรคที่มีเสียงรองลงมาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากพรรครองลงมา ติดต่อพรรคพลังประชารัฐให้เข้าร่วม โดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ด้วย คงต้องประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.เพื่อขอมติครั้งอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมโหวตให้หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า พรรคใดที่มีนโยบายชัดเจนว่าจะไม่แตะมาตรา 112 พรรคพลังประชารัฐก็มีนโยบายชัดเจนที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยจากประสบการณ์ทางการเมืองคาดการณ์ว่าในวันที่ 13 ก.ค.66 ที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ เรื่องของรัฐสภาเกี่ยวข้องกับ ส.ส.และ ส.ว.ทั้ง 750 คน ที่จะลงฉันทามติ ดังนั้นจะให้ได้ดั่งใจคงเป็นไปไม่ได้ ต้องยึดหลักกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เราเคารพเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา

สำหรับความกังวลเรื่องความวุ่นวายจากมวลชนในวันโหวตเลือกนายกฯ ร้อยเอกธรรมนัส เชื่อว่าต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหา แต่ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี การชุมนุมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราคงไปห้ามประชาชนไม่ได้ เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงต้องดูดี ๆ จะใช้ความรุนแรงไม่ได้เด็ดขาด เขามาแสดงจุดยืนของเขา เราต้องฟังความเห็นของเขาด้วย ซึ่ง พลเอกประวิตร ซึ่งดูกำกับดูแลฝ่ายความมั่นคงเน้นย้ำว่าห้ามใช้ความรุนแรงกับประชาชนเด็ดขาด

ร้อยเอกธรรมนัส มองว่าการโหวตนายกฯ ควรให้จบในครั้งเดียว แต่หากไม่จบก็ต้องให้เวลา สมมติครั้งแรกโหวตเลือกนายกฯ ไม่ผ่าน ครั้งต่อไปต้องให้โอกาสพรรคอันดับ 2 รวบรวมพรรคร่วม หากพรรคอันดับ 2 ไม่ผ่านก็ต้องให้โอกาสพรรรคอันดับ 3 เราจะไม่มีการแทรกแซงเรื่องนี้เด็ดขาด เป็นนโยบายของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะกรรมการบริหารพรรคที่มีฉันทามติ

เมื่อถามว่า หากครั้งแรกนายพิธาโหวตไม่ผ่าน ไม่ควรมีชื่อเสนอครั้งที่ 2 ใช่หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า ตนเองหมายความว่าหากที่สุดแล้ว พรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 ไม่ผ่านก็ให้พรรคอันดับ 2 จัดการ ทราบว่าเรื่องนี้มีข้อบังคับของรัฐสภาอยู่ เมื่อถามว่า ถ้าพรรคอันดับ 2 มีปัญหา จะตกมาที่พรรคอันดับ 3 และพรรคอันดับ 4 หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า พลเอกประวิตรมีโอกาสที่จะชิงนายกฯ ใช่หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า เราอย่าไปพูดอย่างนั้น เอาประเด็นอันดับ 1 ผ่านหรือไม่ผ่านก่อน และจะเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยดำเนินการต่อไป
ส่วนการเสนอชื่อซ้ำในรอบสอง เป็นเรื่องของประธานรัฐสภา ซึ่งมีกฎหมายอยู่ เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่จะไปคุยกัน วันนี้ในที่ประชุมก็มีการเอาประเด็นนี้มาพูดคุยกัน โดยวันที่ 12 ก.ค.66 คงชัดเจนมากขึ้น

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้พรรคพลังประชารัฐจะจับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายชัดเจน เราจะอยู่ของเรา เราจะไม่ไปก้าวก่ายกิจกรรมหรือกิจการของพรรคอื่นเด็ดขาด มองว่าการประกาศวางมือทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ เป็นเรื่องที่คงมาคิดละเอียดแล้ว

สำหรับการโหวตนายกฯ ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ถือเป็นเอกสิทธิของแต่ละพรรค เราไม่ก้าวก่าย ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐไม่ฟรีโหวต แต่จะโหวตไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนจะงดออกเสียงให้นายพิธา หรือไม่ลงคะแนนเลย พรรคพลังประชารัฐจะรอดูหน้างานก่อน แต่น่าจะงดเหมือน ส.ว.

เมื่อถามว่าพลเอกประวิตร ได้เน้นย้ำเรื่องการโหวต นายกฯ หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า เป็นนโยบายชัดเจนว่าเราไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่จะเสนอแก้มาตรา 112 ส่วนจะงดหรือปฏิเสธค่อยว่ากัน ซึ่งมติที่ประชุมให้ฟังตนเอง อย่างไรก็ตามในวันที่ 13 ก.ค.จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคได้อภิปราย พรรคละ 20 นาที โดยพรรคพลังประชารัฐได้มอบหมายให้นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เป็นผู้อภิปราย ซึ่งนายสัมพันธ์เป็น ส.สในภาคใต้ จะเน้นเนื้อหาส่วนเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน

Related Posts

Send this to a friend