ศูนย์จีโนมฯ พัฒนาชุดตรวจ BA.2.2 หลังพบโอมิครอนกลายพันธุ์ ทำฮ่องกงมียอดติดเชื้อพุ่งสูงสุดในโลก

วันนี้ (11 มี.ค. 65) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลการกลายพันธุ์ จากการระบาดระลอกล่าสุดโดยสายพันธุ์โอมิครอนว่า ในเกาะฮ่องกง ได้เกิดสายพันธุ์ใหม่ “BA.2.2” มีการกลายพันธุ์เด่นตรงหนามแหลม มีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 1221 จาก I (Isoleucine) เป็น T (Threonine) หรือ “S:I1221T” (ภาพ 1-4) โดยพบมีแพร่ระบาดไปยังอังกฤษ
การระบาดระลอกใหม่นี้ ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในฮ่องกงพุ่งขึ้นจนทำสถิติสูงสุดในโลก มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 0.85 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน อัตราเฉลี่ยผู้เสียชีวิตดังกล่าวสูงมากกว่า ลัตเวีย ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองถึง 2 เท่า
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ยังระบุประเด็นน่ากังวลอีกประการ คือ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโอมิครอนในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 5,425 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 315 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ส่งผลให้โอมิครอนมีการกลายพันธุ์ จนเกิดเป็นสายพันธุ์ย่อย “BA.2.2” หรือ B.1.1.529.2.2 โดยมีการกลายพันธุ์ตรงหนาม “I1221T” ซึ่งขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ฮ่องกงและทั่วโลก กำลังประมวลผลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ BA.2.2 กับข้อมูลทางคลินิกเพื่อตอบปัญหาสำคัญ 6 ประการ คือ
1) BA.2.2 กลายพันธุ์ไปมากกว่า BA.2 หรือไม่ และตำแหน่งใดบ้างโดยเฉพาะในส่วนยีนที่ควบคุมโครงสร้างของหนามที่เปลือกของอนุภาคไวรัส
2) BA.2.2 แพร่ระบาด (transmissibility) รวดเร็วกว่า BA.2 หรือไม่
3) BA.2.2 ก่อให้เกิดอาการของโรคโควิดได้รุนแรง (severity) กว่า BA.2 หรือสายพันธุ์ที่น่ากังวลใจ (variants of concern) อื่น ๆ เช่น อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา หรือไม่
4) BA.2.2 สามารถด้อยประสิทธิภาพของวัคซีนลงมากกว่า BA.2 หรือไม่
5) ยารักษาโมโนโคลนอลแอนติบอดีตัวใหม่ “โซโทรวิแมบ” (Sotrovimab) ที่ใช้ต่อต้านโอมิครอน ยังสามารถจับกับ BA.2.2 ได้อยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจ
6) ใช่หรือไม่ ที่ BA.2.2 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงทำสถิติสูงสุดในโลก (ภาพที่ 6)
ปัจจุบันยังไม่พบ BA.2.2 ในประเทศไทย แต่ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯได้เริ่มพัฒนาชุดตรวจ BA.2.2 แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จนำออกใช้ตรวจกรอง BA.2.2 ได้ภายในอีก 2 สัปดาห์ ด้วยเทคโนโลยี “MassArray Genotyping” โดยใช้เวลาในการตรวจรู้ผลสายพันธุ์ต่างๆ ที่น่ากังวล รวมถึง BA.2.2 ในการตรวจเพียงครั้งเดียว ใช้เวลาประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง ในการออกผล