‘พิธา’ ถามทำไมใช้กลไกรัฐสภาประชุมลับ ปมทำประชามติยกเลิก MOU ไม่ได้
‘พิธา’ ถามทำไมใช้กลไกรัฐสภาประชุมลับ ปมทำประชามติยกเลิก MOU ไม่ได้ มองควรตั้งเงื่อนไขให้ชัด แนะ ‘อนุทิน’ ร่วมวงประชุมอาเซียน วางจุดยืนให้ชัด อย่าให้ประเทศอื่นชักจูง
วันนี้ (10 ต.ค.68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้าจัดให้มีการออกเสียงประชามติถามประชาชนว่าเห็นควรให้ยกเลิกข้อตกลง MOU 2543-2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา หรือไม่
นายพิธา ระบุว่า ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทำไมเรื่องนี้จึงใช้กลไกของรัฐสภาไม่ได้ เมื่อวาน (9 ต.ค.68) ฟังที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ใช้กลไกของสภาฯ ถามกระทู้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็คิดว่าตอบยาก เพราะต้องหาความเข้าใจร่วมกันในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน ตนเองเข้าใจว่าเป็น นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนโยนประเด็นขึ้นมา และไม่แน่ใจว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นด้วยหรือไม่ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็เริ่มสื่อสารเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย หรือข้อเท็จจริงของ MOU ทั้ง 2 ฉบับเป็นอย่างไร
เรื่องที่หนึ่งในระดับมหภาค รัฐบาลต้องชี้แจงกันให้ชัดว่าเรื่องแบบใดใช้กลไกรัฐสภา โดยการประชุมลับ เรื่องแบบใดจึงทำประชามติ เพราะถ้าสมมติเป็นเรื่องสุดโต่งแล้วถามประชามติหมดเลย สุดท้ายแล้วกลไกรัฐสภาไม่ต้องมีเลยใช่หรือไม่ ญัตติไม่ต้องยื่นแล้วหรือไม่ ไม่ต้องมีกรรมาธิการในการศึกษาแล้ว ดังนั้นเรื่องแรกระดับมหภาค ต้องบอกให้ได้ว่า เงื่อนไขของรัฐบาลชุดนี้คิดอย่างไร เงื่อนไขไหนที่ใช้กลไกรัฐสภาในการหาทางออกให้กับประเทศ กลไกไหนใช้ประชามติ ไม่เช่นนั้นก็จะลักลั่นกันแบบนี้ตลอดไป
เรื่องที่สอง ระดับจุลภาค คือความเป็นเอกภาพสมานฉันท์กันของ ครม.ว่าสิ่งที่ นายบวรศักดิ์ พูดนั้น รัฐมนตรีคนอื่นที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยหรือไม่ ส่วนข้อกังวลว่าอาจจะเป็นการเปิดเผยความลับของประเทศให้กัมพูชารู้นั้น เพราะเหตุนี้จึงมีการประชุมลับ เพราะเรื่องแบบนี้มีวิธีการแก้ไขปัญหาได้หลายสัดส่วน มีการทำให้ประชาชนได้รับความเข้าใจหลายสัดส่วน ก็ควรที่จะเบาไปหาหนัก ไม่ใช่เริ่มต้นที่การทำประชามติเลย
ขณะที่ข้อกังวลว่าข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติจะออกสู่สาธารณะมากขึ้นนั้น นายพิธา กล่าวว่านั่นคือเรื่องของการรณรงค์ในการทำประชามติ แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตยของชาติ แต่หากมีการประชุมในกรรมาธิการ มีการยื่นญัตติ หรืออย่างที่สุดคือเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ก็มีกลไกการประชุมลับอยู่ ก็สามารถรักษาสัดส่วนระหว่างความมั่นคงของชาติ และความเข้าใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี
เมื่อถามว่า มองอย่างไรหาก ครม. ใช้อำนาจในการยกเลิก MOU โดยตรง นายพิธาตอบว่า ก็ต้องมาตอบคำถามของตนเองในข้อแรกว่า ใช้เงื่อนไขไหนมาบอกว่า เรื่องนี้ทำประชามติ เรื่องนี้ใช้รัฐสภาแก้ไข แต่ตนเองยังหาเกณฑ์ชี้วัดตรงนีไม่เจอ ในหัวพอมีคิดอยู่บ้าง แต่อยากจะฟังจากทาง ครม. และนายกรัฐมนตรีก่อนว่าอย่างไร
ขณะที่การประชุมสุดยอดอาเซียนที่จะถึงนี้ ซึ่ง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาจมาร่วมด้วยนั้น นายกรัฐมนตรีควรมีจุดยืนอย่างไรในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา นายพิธาระบุว่า เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน ถ้าเรานำอธิปไตยและมนุษยธรรมของประเทศมาเป็นที่ตั้ง และทำงานย้อนกลับมาว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความผาสุกของพี่น้องประชาชนในระยะยาวได้บ้าง โดยที่เราสามารถกำหนดอนาคตของเราเองได้ โดยไม่ให้ประเทศไหนมาผลักหรือชักจูงเราได้ คิดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดยืนที่สำคัญ
ส่วนกรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอตัวเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชานั้น นายพิธากล่าวว่า ถ้ามองเป็นสถานการณ์ภาพรวม ตอนนี้ก็มีเรื่องอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อยู่ รวมถึงเรื่องรัสเซีย-ยูเครน จึงคิดว่าต้องดูเกมยาวหน่อย ว่าในระยะยาวสิ่งที่เกิดขึ้นยุติธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ และยังคงไว้ซึ่งอำนาจของแต่ละประเทศหรือไม่ ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เป็นจุดที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หนึ่งที่เกิดขึ้น อินเดีย-ปากีสถาน ก็เป็นอีกที่หนึ่ง เราก็ต้องดูในระยะยาว และกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ
“ถ้าเรามียุทธศาสตร์ของเราเป็นตัวตั้ง จุดแข็ง จุดอ่อน ขีดจำกัด โอกาสของเรา ที่เป็นหนึ่งในอาเซียน เศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก สามารถจะเป็นสะพาน หรืออำนาจขนาดกลางที่สามารถเชื่อมโยงสู่ระเบียบของโลกใหม่ได้อย่างไรบ้าง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เจอปัญหาอะไรก็จะง่าย แต่ถ้าเราไม่รู้อะไร ก็จะโดนโยนไปโยนมาอย่างที่เคยเป็นมา” นายพิธา กล่าว












