POLITICS

นายกรัฐมนตรี นำคณะลงตรวจน้ำเขื่อนเจ้าพระยา จ. ชัยนาท

ขอโทษประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการทำงาน ขอระบายน้ำให้เร็ว ชี้ ท่วมแค่ 1 ชั่วโมงก็สาหัส ลั่น “ไม่เคยคิดจะได้คะแนนจากความเดือดร้อนของ ปชช.” ด้าน ‘ศักดิ์ดา’ มั่นใจ น้ำไม่ท่วมซ้ำรอยปี 54 เหตุปริมาณน้ำลดเหลือ 2,800 ลบ.ม./วินาที และฝนเริ่มขาดช่วง ขณะที่ ‘ภราดร’ จี้กรมชลประทานเร่ง 2 โครงการช่วยบรรเทาน้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยา – ทำความเข้าใจประชาชนใช้พื้นที่ทุ่งรับน้ำ

วันนี้ (10 ต.ค. 68) เวลา 15.50 น. ที่เขื่อนเจ้าพระยา ต. บางหลวง อ. สรรพยา จ. ชัยนาท นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อม นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ และแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยมีนายนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทเป็นผู้รายงานสถานการณ์

นายนที ระบุว่า ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ชัยนาทขณะนี้ อยู่ที่อำเภอสรรพยา ซึ่งเป็นอำเภอท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เนื่องจากมีการปล่อยน้ำสูงสุดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ชาวสรรพยาทำเขื่อนดินป้องกันได้เพียงอัตราการระบายน้ำที่อัตรา 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หากปล่อยน้ำเกินกว่านั้น น้ำจะเอ่อล้นเขื่อนดิน จึงต้องมีการอพยพชาวบ้านใน 5 ตำบลของอำเภอสรรพยากว่า 1,700 ครัวเรือน ส่วนความเสียหายต่อพื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 400 ไร่ และขณะนี้อยู่ระหว่างรอระดับน้ำลดลง หากอัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สถานการณ์ก็จะเริ่มดีขึ้น ซึ่งเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้จำนวน 50 เครื่อง เพื่อสูบน้ำในพื้นที่ต่ำออก

ขณะที่ นายศักดิ์ดา เผยว่า สอบถามประชาชนชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล ห่วงน้ำท่วมเหมือนปี 2554 ทั้งนี้จากที่ดูสถานการณ์น้ำน้อยลงเหลือประมาณ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในอัตราสูงสุดแล้วไม่เทียบเท่าปี 2554 ที่ปล่อยน้ำสูงสุด 4,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตนจึงมั่นใจสถานการณ์ไม่เท่าปี 2554 เพราะฝนเริ่มขาดช่วงแล้ว และท้ายเขื่อนเจ้าพระยา น้ำจะลดลง ทั้งน้ำฝนมาเติม และน้ำท้ายเขื่อน จะลดลงไปเรื่อย ๆ ผ่านจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ถึงกรุงเทพฯ

ด้านนายภราดร กล่าวถึงการเยียวยาประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ย้ำจะต้องถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุด ไม่ใช่เกิดเหตุปีนี้ ชดเชยปีหน้า โดยในล็อตแรกกว่า 600,000 ราย งบประมาณกว่า 6,100 ล้านบาท เตรียมนำเรื่องเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ตุลาคมนี้ หลังจากนั้นก็จะใช้มติคณะรัฐมนตรีเป็นรอบ ๆ

ส่วนโครงการเร่งด่วนโครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล – บางไทร ให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินการ เช่นเดียวกับโครงการคลองระบายน้ำหลากป่าสัก – อ่าวไทย หากสามารถเร่งสรุปผลได้เร็ว และส่งเข้าไปยังคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะสามารถเริ่มนับ 1 โครงการได้เร็วเท่านั้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยตัดน้ำออกไป 800-900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องทุ่งรับน้ำ ซึ่งมี 10 ทุ่งหลัก กรมชลประทานควรที่จะเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเอาน้ำเข้าทุ่งคือ ต้องไม่ให้พวกเขาได้รับความเดือดร้อน

จากนั้น นายอนุทิน ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอบคุณผู้ที่กล่าวรายงาน วันนี้พวกตนมาไล่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วม ตั้งแต่จังหวัดพิจิตรลงมา ซึ่งจังหวัดพิจิตรค่อนข้างมีสถานการณ์ที่หนักมาก ภาพรวมในช่วงที่เฮลิคอปเตอร์ยกตัวขึ้นได้เห็นสภาพน้ำที่ท่วมในมุมสูง สมัยก่อนใช้คำว่า ”ก้อนน้ำ“ ซึ่งมีปริมาณมหาศาลมาก ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูฝนแล้ว หากไม่มีปริมาณฝนลงมาเพิ่ม สถานการณ์น่าจะคลี่คลายภายใน 2-3 สัปดาห์

สำหรับคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาแต่ชาวบ้านถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส เพียงแค่ 1 ชั่วโมง ที่ชาวบ้านต้องเผชิญ ก็หนักหนาสาหัส จึงได้สั่งการให้หน่วยงานเห็นความจำเป็นเร่งด่วนและหาวิธีการแก้ปัญหาความทุกข์ประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ตนเคยมาอยู่ในพื้นที่นี้ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นมาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยก็มี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาด้วย แต่ในขณะนั้นเรื่องของการสั่งงานอาจจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงแต่ในเมื่อตนได้กลับมาบริหาร ก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถและมีหน้าที่โดยตรงเพราะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย

นายอนุทิน ยังกล่าวว่า เมื่อเป็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เราไม่ได้มองว่า เป็นรัฐบาลผสม แต่เป็นรัฐบาลเดียวที่ต้องให้การดูแลพี่น้องประชาชน ตนมั่นใจว่า จะเปลี่ยนไปจึงขอความร่วมมือกับฝ่ายข้าราชการประจำขอให้ดำเนินการในการบูรณาการความร่วมมือทั้งหลาย โดยเอาเป้าหมายว่า น้ำจะต้องถูกระบายโดยเร็วเป็นตัวตั้ง และเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาก็ต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งรัฐบาล 4 เดือนทำได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว

“ไม่ว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาก็จะต้องวางรากฐานให้สามารถสานต่อได้ไม่มีความคิดว่า เป็นเรื่องการเมืองใครทำแล้วจะได้คะแนนหรือไม่ได้คะแนน ซึ่งตรงนี้เป็นวิธีการทำงานของตน ไม่เคยคิดว่า ใครจะได้หน้าได้ตา หรือได้คะแนน เพราะการได้มาจากความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน แต่ปัญหาไม่จบไม่สิ้น ตนจึงขอทำให้จบภายในปีเดียว และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนหายไป” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขอให้ลองคิดดูว่าปีที่แล้วใช้เงินเกือบ 30,000 ล้านบาท ในการเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งความจริงแล้วสามารถใช้ได้เป็น 6 ปี และใน 3 ปีที่ผ่านมาตนเซ็นเงินเยียวยาไปแล้ว 60,000 ล้านบาท เกือบ 70,000 ล้านบาท แต่กลับหายไปเลยในปีเดียว ดังนั้นควรผันเงินเหล่านี้มาทำให้เป็นถาวรวัตถุที่สามารถบริหารจัดการระบบการระบายน้ำ และบริหารทรัพยากรน้ำให้ดีที่สุด สามารถกักเก็บหรือไหลผ่านตรงไหนได้ เพราะทำถนนให้รถวิ่งมาเยอะแล้วตอนนี้อาจจะทำทางให้น้ำไหลบ้าง โดยต้องแก้ไขปัญหาทั้งหลายอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ นายอนุทิน ยังกล่าวขอโทษพี่น้องประชาชน ว่า ในปีนี้ตนได้สอบถามหลายคนไม่ได้ท่วมแค่หน้าแข้ง แต่ท่วมถึงหน้าอก บางคนถึงคอ และท่วมมาแล้ว 3-4 เดือน มอบหมายให้นายภราดรพิจารณาเงินเยียวยาว่า หากท่วมเกิน 1 เดือน 2 เดือน จะมีวิธีช่วยพี่น้องประชาชนอย่างไรบ้าง เราเห็นพี่น้องประชาชนเดือดร้อนไปแบบนี้ทุกปีไม่ได้ ซึ่งแม้จะมีการเพิ่มเงินเยียวยาเชื่อว่าหากพี่น้องประชาชนเลือกได้ก็คงเลือกขอไม่โดนน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้รัฐบาลจึงต้องไปเร่งหาวิธีการในเรื่องการแก้ปัญหาการระบายน้ำโดยเร็ว

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า ขอให้ทุกหน่วยงานมองความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปดูเรื่องการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ที่เอกสารล่าช้าหรือหากเกินอำนาจขอให้รายงานมาที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเรื่องปัญหาเอกสารล่าช้าตนคิดว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายเรื่องที่ทำให้เรื่องล่าช้า ซึ่งก็จะเกิดปัญหาแบบโดมิโนที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนดังนั้นจึงขอให้ทำงานแบบบูรณาการ มีตรงไหนที่ครอบคลุมได้ก่อนให้ทำ และตนขอให้สัญญาว่าหากมีตรงไหนออกสำรองไปก่อน จะได้คืนเพราะตนกำกับดูแลงบกลางอยู่

Related Posts

Send this to a friend